วันพุธที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556


วิเคราะห์จากคลิปวีดีโอ
โทรทัศน์ครู  วิทยาศาสตร์  นักศึกษาครู
 จากคลิปวีดีโอทำให้เรารู้ว่าการเรียนรู้ไม่จำเป็นต้องหยุดอยู่กับที่ คนเราสามารถเรียนรู้ได้ตลอดชีวิต สามารถเรียนรู้ได้ทุกที่ ทุกเวลา  คนเรานั้นไม่ว่าจะอายุมากหรือน้อยก็สามารถเรียนรู้ได้ทั้งนั้น  การศึกษาจพเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเรียนรู้ในหลายๆเรื่อง เนื่องจากการเป็นครูนั้นเราต้องรู้มากกว่าเด็ก  หากเรารู้น้อยกว่าเด็กเราก็ไม่สามารถที่จะไปสอนเด็กได้ คนที่มีความรู้มีประสบการณ์ที่ดีจะทำให้ประสบผลสำเร็จในการเรียนการสอนอย่างดียิ่ง


วิเคราะห์จากคลิปวีดีโอ
จากโทรทัสน์ครู  วิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษา
จากคลิปวีดีโอทำให้เราสามารถรับรู้ได้ว่า ครู กอบวิทย์ ได้รับแรงบันดาลใจจากการดูโทรทัศน์ครู แล้วแรงบันดาลใจนี้ครูได้นำมาใช้ในการจัดการเรียนรู้ของนักเรียน ซึ่งเกี่ยวกับกระแสไฟฟ้า  ในปัจจุบันเป็นที่ทราบกันดีว่ากระแสไฟฟ้า เป็นสิ่งสำคัญในการดำเนินชีวิตของมนุษย์  ไม่ว่าจะเป็นการหุงข้าง การเวฟอาหาร เป็นต้น จากคลิปวีดีโอนี้ทำให้เราได้ทราบว่าการมีแรงบันดาลใจที่ดีจะทำให้เราสามารถสร้างงานหรือผลิตผลที่ดี และเป็นประโยชน์ให้กับเด็กนักเรียนต่อไป

วันศุกร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

Tablet

แท็บเล็ต (Tablet)
      หลายๆคนพอพูดถึง "แท็บเล็ต - Tablet" แล้วอาจจะงงว่ามันคืออะไร ?? แต่ถ้าพูดว่า iPad, Samsung Galaxy Tab แล้วล่ะก็ต้องร้อง อ๋อ กันแน่นอนซึ่ง iPad และ Samsung Galaxy Tab นั้นจริงๆแล้วเป็นเพียงแค่ชื่อรุ่นเท่านั้น แต่แท้ที่จริงแล้วตัวเครื่องเหล่านี้จะเรียกกันว่า "แท็บเล็ต - Tablet"
"แท็บ เล็ต - Tablet" ในความหมายแท้จริงแล้วก็คือแผ่นจารึกที่เอาไว้บันทึกข้อความต่างๆโดยการ เขียน (อาจจะเป็นกระดาษ, ดิน, ขี้ผื้ง, ไม้) และมีการใช้กันมานานแล้วในอดีต แต่ในปัจจุบันมีการพัฒนาคอมพิวเตอร์ที่ใช้แนวคิดนี้ขึ้นมาแทนที่ซึ่งมีหลาย บริษัทได้ให้คานิยามที่แตกต่างกันไป หลักๆแล้วก็มี 2 ความหมายด้วยกันคือ "แท็บเล็ต พีซี - Tablet PC (Tablet Personal Computer)" และ "แท็บเล็ต คอมพิวเตอร์ - Tablet Computer" หรือเรียกสั้นๆว่า "แท็บเล็ต - Tablet"
แท็บเล็ต พีซี - Tablet PC (Tablet personal computer)

                                                                ภาพ tablet PC
"แท็บ เล็ต พีซี - Tablet PC (Tablet personal computer)" คือ "เครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลที่สามารถพกพาได้และใช้หน้าจอสัมผัสในการทางาน เป็นอันดับแรก ออกแบบให้สามารถทางานได้ด้วยตัวมันเอง" ซึ่งเป็นแนวคิดที่ได้รับความสนใจเป็นอย่างมากหลังจากทาง Microsoft ได้ทาการเปิดตัว Microsoft Tablet PC ในปี 2001 แต่หลังจากนั้นก็เงียบหายไปและไม่เป็นที่นิยมมากนัก
"แท็บ เล็ต พีซี - Tablet PC" ไม่เหมือนกับคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะหรือ Laptops ตรงที่อาจจะไม่มีแป้นพิมพ์ในการใช้งาน แต่อาจจะใช้แป้นพิมพ์เสมือนจริงในการใช้งานแทน (มีแป้นพิมพ์ปรากฎบนหน้าจอใช้การสัมผัสในการพิมพ์) "แท็บเล็ต พีซี - Tablet PC" ทุกเครื่องจะมีอุปกรณ์ไร้สายสาหรับการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตและระบบเครือ ข่ายภายใน
ภาพ HP Compaq tablet PC ที่ใช้ระบบปฏิบัติการ Windows
แท็บเล็ต คอมพิวเตอร์ - Tablet Computer หรือ แท็บเล็ต - Tablet

                                                                 ภาพ  tablet  computer
"แท็บ เล็ต คอมพิวเตอร์ - Tablet Computer" หรือเรียกสั้นๆว่า "แท็บเล็ต - Tablet" คือ "เครื่องคอมพิวเตอร์ที่สามารถใช้ในขณะ
เคลื่อนที่ได้ขนาดกลางและใช้หน้าจอ สัมผัสในการทางานเป็นอันดับแรก มีคีย์บอร์ดเสมือนจริงหรือปากกาดิจิตอลในการใช้งาน
แทนที่แป้นพิมพ์คีย์บอร์ด และมีความหมายครอบคลุมถึงโน๊คบุ๊คแบบ convertible ที่มีหน้าจอแบบสัมผัสและมีแป้นพิมพ์คีย์บอร์ด
ติดมาด้วยไม่ว่าจะเป็นแบบหมุน หรือแบบสไลด์ก็ตาม"
ซึ่งทางบริษัท Apple ผู้ผลิต "ไอแพด - iPad" ได้เรียกอุปกรณ์ของตัวเองว่าเป็น "แท็บเล็ต คอมพิวเตอร์ - Tablet Computer"
 
ความแตกต่างระหว่าง "แท็บเล็ต คอมพิวเตอร์ - Tablet computer" และ "แท็บเล็ต พีซี - Tablet PC"เริ่มแรก "แท็บเล็ต พีซี - Tablet PC" จะ ใช้หน่วยประมวลผลกลางหรือ CPU ที่ใช้สถาปัตยกรรม x86 ของ Intel เป็นพื้นฐานและมี
การปรับแต่งนาเอาระบบปฏิบัติการหรือ OS ของเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลหรือ Personal Computer - PC มาทาให้สามารถ
ใช้การสัมผัสในการทางานได้ ตัวอย่างเช่น Windows 7 หรือ Ubuntu Linux แทนที่จะใช้แป้นพิมพ์คีย์บอร์ดหรือเมาส์ และ
เนื่องจากเป็นการรวมกันระหว่างระบบปฏิบัติการ Windows และหน่วยประมวลผลกลางหรือ CPU ของ Intel ทาให้มีคนเรียกกัน
ว่า "Wintel"
ต่อ มาในปี 2010 ได้เกิดแท็บเล็ตที่แตกต่างจาก "แท็บเล็ต พีซี - Tablet PC" ขึ้นมาโดยไม่มีการยึดติดกับ Wintel แต่ไปใช้ระบบปฏิบัติการของโทรศัพท์เคลื่อนที่แทนนั่นก็คือ "แท็บเล็ต คอมพิวเตอร์ - Tablet Computer หรือเรียกสั้นๆว่า แท็บเล็ต - Tablet" ซึ่งจะใช้หน้าจอแบบ capacitive แทนที่ resistive ทาให้สามารถสัมผัสโดยการใช้นิ้วได้โดยตรงและสัมผัสพร้อมกันทีละหลายจุดได้ หรือ multi-touch ประกอบกับการใช้หน่วยประมวลผลกลางหรือ CPU ที่ใช้สถาปัตยกรรม ARM แทนซึ่งสถาปัตยกรรม ARM นี้ทาให้แท็บเล็ตนั้นมีการใช้งานได้ยาวนานกว่าสถาปัตยกรรม x86 ของ Intel หลายๆคนคงจะรู้จักแท็บเล็ตตัวนี้กันเป็นอย่างดีนั้นก็คือ ไอแพด (iPad) นั้นเอง
      ** สรุปความหมายของแท็บเล็ตสั้นๆ ก็คือ คอมพิวเตอร์พกพาหรือคอมพิวเตอร์ที่สามารถใช้งานขณะเคลื่อนที่ได้ขนาดกลางที่มีหน้าจอแบบสัมผัสในการใช้งานเป็นหลัก


ตัวอย่าง http://www.dengotech.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=539506754
แหล่งอ้าอิง   http://www.tabletd.com/articles 16 กุมภาพันธ์ 2556

Social media

Social  Media

   Social Media
หมายถึง สังคมออนไลน์ที่มีผู้ใช้เป็นผู้สื่อสาร หรือเขียนเล่า เนื้อหา เรื่องราว ประสบการณ์ บทความ รูปภาพ และวิดีโอ ที่ผู้ใช้เขียนขึ้นเอง ทำขึ้นเอง หรือพบเจอจากสื่ออื่นๆ แล้วนำมาแบ่งปันให้กับผู้อื่นที่อยู่ในเครือข่าย ของตน ผ่านทางเว็บไซต์ Social Network ที่ให้บริการบนโลกออนไลน์ ปัจจุบัน การสื่อสารแบบนี้ จะทำผ่านทาง Internet และโทรศัพท์มือถือมากขึ้นเรื่อยๆ
Social Network
หมายถึง เป็นเว็บไซต์ที่ให้บริการสร้างสังคมเครือข่ายผ่านระบบอินเตอร์เน็ต เช่น www.facebook.com ส่วน http://twitter.com เป็น micro blog site ชึ่งเป็น Social Media ชนิดหนึ่ง
ขั้นตอนการสมัครเข้าใช้งาน
facebook

  • เข้าไปที่
  • www.facebook.com
  • กรอกข้อมูลส่วนตัว ได้แก่ ชื่อ นามสกุล อีเมล์แอดเดรส รหัสผ่าน เพศ และวันเดือนปีเกิด
  • คลิกปุ่ม
  • Sign Up
  • กรอกตัวอักษรตามภาพที่เห็น คลิกปุ่ม
  • Sign Up
  • Step 1
  • ให้เราเพิ่มเพื่อน แต่ให้เราข้ามไปก่อนได้ คลิก Skip this step
  • Step 2
  • ให้เรากรอกชื่อสถานศึกษา ปีที่จบ หรือ กรอกบริษัทที่ทำงาน แต่ข้ามไปก่อนได้ คลิก Save & Continue
  • Step 3
  • ให้เราคลิกเลือกอัพโหลดไฟล์ภาพแทนตัวคุณ แต่ข้ามไปก่อนได้ คลิก Save & Continue
    การใช้งาน
    facebook
    การโพสข้อความ
  • ไปที่หน้า
  • Profile ของคุณ
  • พิมพ์ข้อความที่อยากจะโพสลงบนกล่อง
  • “คุณกำลังคิดอะไรอยู่”
  • กด
  • โพส เพื่อยืนยันข้อความ
    การคอมเมนต์เพื่อน
  • ไปยังข้อความอัพเดทของเพื่อนที่คุณต้องการคอมเมนต์
  • คลิกแสดงความคิดเห็น
  • พิมพ์ข้อความที่ต้องการแสดงความคิดเห็น
  • กด
  • Enter
    การโพสรูปลงใน
    facebook

  • ให้กดที่
  • (Photos) เพื่อทำการเลือกอัพโหลดรูป
    2.
    เมื่อคลิกแล้วจะมีให้เลือกวิธีอัพโหลดรูปด้วยกัน 3 วิธี คือ Upload a Photo / Take a Photo / Create an Album Upload a Photo : from your drive -> การเลือกไฟล์รูปภาพจากในคอมพิวเตอร์ หรือ External
    HDD.
    โพสลงใน Facebook
    Take a Photo :
    with a webcam -> การถ่ายรูปผ่านทาง Web Cam ในขณะนั้นและโพสลงใน Facebook ทันที
    Create an Album :
    with many photos -> การสร้างอัลบั้มรูปภาพขึ้นมา เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการโพ สรูปลงเป็นจำนวนมาก
    3.
    กรณี Upload a Photo : เมื่อคลิกแล้ว จะมีช่องให้กดเลือกไฟล์ภาพที่อยู่ในคอมพิวเตอร์ เพื่อนำมาโพส ให้กดที่ Browse เพื่อเปิดหน้าต่าง My Picture ขึ้นมา จากนั้นเลือกโฟลเดอร์รูปภาพที่เราต้องการ แล้วคลิกที่ไฟล์รูปนั้น แล้ว กด Open 4. จากนั้น ช่องด้านบน สามารถพิมพ์ข้อความที่ต้องการลงไปพร้อมๆกับรูปภาพที่โพสได้ด้วย แต่ถ้าไม่ต้องการพิมพ์ อะไรเพิ่ม ก็สามารถละไว้ได้ 5. กด เพื่อทำการอัพโหลดรูปขึ้นบน Facebook 6. เมื่อโพสเสร็จ รูปก็จะปรากฏขึ้นตรงหน้า Wall บน Facebook
    7.
    นอกจากนี้ รูปที่โพส เพื่อนๆ หรือ คนอื่นๆ สามารถร่วมแสดงความคิดเห็น, ความชื่นชอบ และแบ่งปันรูปไปไว้บน หน้า Page ของตัวเองได้อีกด้วย
    แชร์
    facebook กับ Twitter
    1.
    เข้ามาที่เว็บ http://www.facebook.com/twitter
    2.
    กด link My Profile to twitter
    3.
    กด Authorize app
    4.
    กด บันทึกการเปลี่ยนแปลง
    5.
    เริ่มทำการโพสข้อความจากหน้า facebook ได้เลย ข้อความก็จะปรากฏบนหน้าเว็บทั้ง 2 เว็บให้อัตโนมัติ
    5
    ขั้นตอนการ สมัครใช้งาน Twitter
    Twitter
    เป็นบริการเครือข่ายสังคมออนไลน์จำพวกไมโครบล็อก โดยผู้ใช้สามารถส่งข้อความยาวไม่เกิน 140 ตัวอักษร เพื่อสื่อสารกับเพื่อนในเครือข่าย
    1.
    อันดับแรก คุณต้องเข้าไปที่ http://www.twitter.com และคลิกปุ่ม Sign up now
    2.
    กรอกรายละเอียดส่วนตัว สำหรับการใช้งาน Twitter
    ซึ่งข้อมูลที่จำเป็นต้องกรอกประกอบด้วย
    - Full name :
    ชื่อเต็มของเรา - Username : ชื่อที่ใช้ในการเล่น Twitter - Password : รหัสผ่านส่วนตัว และควรเก็บเป็นความลับ - Email : อีเมล์ของเราที่ใช้งานได้จริง - Type the words above : กรอกตัวอักษรที่เห็นตามภาพข้างบน เพื่อยืนยัน
    หลังจากนั้นคลิกตรง
    “Create my account”
    3.
    ในขั้นตอนนี้ ระบบจะทำการเชิญเพื่อนในลิสต์เมล์ของเรา หากไม่ต้องการ ให้ทำการคลิก “Skip this step ”
    4.
    หลังจากนั้น Twitter จะทำการแนะนำเพื่อนให้เราติดตาม (follow) หากไม่ต้องการ ให้ทำการคลิกช่อง select all ออก แล้วคลิกเลือก Finish
    5.
    มาเริ่ม Tweet กันได้เลย…
    -
    กรอกข้อความที่ต้องการส่งในช่อง “What are you doing”
    -
    กดปุ่ม “update”
    แชร์
    Twitter กับ facebook
    การโพสข้อความครั้งเดียว สามารถปรากฏบน
    twitter และ facebook ได้พร้อมกัน
    1.
    เข้ามาที่เว็บของ Twitter แล้วคีย์ URL ดังนี้ http://twitter.com/goodies/widgets
    2.
    คลิกเลือกแท็บ facebook แล้วคลิกที่ facebook Application อีกครั้ง
    3.
    คลิกที่คำสั่ง Insatall Twitter in facebook เพื่อติดตั้ง Twitter บน facebook สำหรับลิงค์ฐานข้อมูลระหว่างกัน
    4.
    จากนั้นจะเข้ามาที่หน้าจอของ facebook ให้ล็อกอินเข้าใช้ระบบ
    5.
    ใส่ชื่อแอคเคาท์และรหัสผ่าน Twitter ของคุณเอง เพื่อให้ facebook ทราบว่าดึงข้อมูลจากที่ไหน
    6.
    คลิกปุ่ม Allow เพื่อยอมรับการใช้ Twitter สามารถเปิดใช้งานบน facebook ได้
    7.
    คลิกเลือก 􀀻 หน้าส่วนที่ต้องการให้อัพเดทการโพส (อาจมีมากกว่า 2 ตัวเลือก)
    8.
    จากนั้นจะมีหน้าต่างขึ้นมา ให้คลิกปุ่ม Allow เพื่อยืนยัน
    9.
    เริ่มทำการโพสข้อความจากหน้าเว็บ Twitter ได้เลย ข้อความก็จะปรากฏบนหน้าเว็บทั้ง 2 เว็บให้อัตโนมัติ
    การ
    Retweet หรือการ Share ข้อมูลเพื่อนใน facebook เป็นการสร้างกระแสแนะนำให้ Retweet หรือ Share ข้อมูล, บทความ, URL link จาก Website กรมควบคุมโรค ที่ www.ddc.moph.go.th หรือ Website อื่นๆ ในด้าน สาธารณสุขที่น่าเชื่อถือได้ เช่น กระทรวงสาธารณสุข กรมต่างๆ ในกระทรวง สำนัก/สถาบัน ต่างๆ ในกรมควบคุมโรค การโพสข้อความหรือ Retweet หรือ Share ข้อความ รูปภาพ หรือ สิ่งอื่นๆ ใน internet สมควรใช้วิจารณญาณ เพราะอาจเข้าข่าย การนำเข้าหรือเผยแพร่เนื้อหาอันไม่เหมาะสม ซึ่งมีความผิด ตาม พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 มาตรา14 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ถ้าต้องการความช่วยเหลือ หรือต้องการปรึกษาวิธีการใช้
    Social Media ต่างๆ โปรดติดต่อ ศูนย์สารสนเทศ 025903093 คุณจันทร์เพ็ญหรือคุณสุพจนา

             ทุกวันนี้ พวกเราหลายคนใช้ชีวิตอยู่กับ Social Network และ Social Media มากขึ้นทุกวัน แต่พอพูดถึง ‘Social Media’ ว่าคืออะไร หลายคนที่ใช้อยู่ ก็ยังถึงกับอึ้ง และตอบไม่ได้ว่ามันคืออะไร และไม่รู้จะอธิบายอย่างไร  วันนี้ Marketing Oops! เลยขอทำหน้าที่อธิบายคำๆ นี้แทน  เพื่อให้คนที่ใช้เป็นประจำอยู่แล้วสามารถอธิบายต่อให้คนอื่นทราบได้ และสำหรับคนที่ยังไม่เคยรู้ ก็สามารถทำความรู้จักได้เช่นกัน


    Social ในที่นี้หมายถึง สังคมออนไลน์
    Media ในที่นี้หมายถึง เนื้อหา เรื่องราว และบทความ
    Social Media จึงหมายถึงสังคมออนไลน์ที่มีผู้ใช้เป็นผู้สื่อสาร หรือเขียนเล่า เนื้อหา เรื่องราว ประสบการณ์ บทความ รูปภาพ และวิดีโอ ที่ผู้ใช้เขียนขึ้นเอง ทำขึ้นเอง หรือพบเจอจากสื่ออื่นๆ แล้วนำมาแบ่งปันให้กับผู้อื่นที่อยู่ในเครือข่ายของตน ผ่านทางเว็บไซต์ Social Network ที่ให้บริการบนโลกออนไลน์  ปัจจุบัน การสื่อสารแบบนี้ จะทำผ่านทาง Internet และโทรศัพท์มือถือเท่านั้น
    เนื้อหาของ Social Media โดยทั่วไปเปรียบได้หลายรูปแบบ ทั้ง กระดานความคิดเห็น (Discussion boards), เว็บบล็อค (Weblogs), วิกิ (wikis), Podcasts, รูปภาพ และวิดีโอ  ส่วนเทคโนโลยีที่รองรับเนื้อหาเหล่านี้ก็รวมถึง เว็บบล็อค (Weblogs), เว็บไซต์แชร์รูปภาพ, เว็บไซต์แชร์วิดีโอ, เว็บบอร์ด, อีเมล์, เว็บไซต์แชร์เพลง, Instant Messaging, Tool ที่ให้บริการ Voice over IP เป็นต้น

    -

    เว็บไซต์ ที่ให้บริการ Social Network หรือ Social Media

    Google Group – เว็บไซต์ในรูปแบบ Social Networking


    -

    Wikipedia – เว็บไซต์ในรูปแบบข้อมูลอ้างอิง


    -

    MySpace – เว็บไซต์ในรูปแบบ Social Networking


    -

    Facebook -เว็บไซต์ในรูปแบบ Social Networking


    -

    MouthShut – เว็บไซต์ในรูปแบบ Product Reviews


    -

    Yelp – เว็บไซต์ในรูปแบบ Product Reviews


    -

    Youmeo – เว็บที่รวม Social Network


    -

    Last.fm – เว็บเพลงส่วนตัว Personal Music


    -

    YouTube – เว็บไซต์ Social Networking และ แชร์วิดีโอ


    -

    Avatars United  – เว็บไซต์ในรูปแบบ Social Networking


    -

    Second Life – เว็บไซต์ในรูปแบบโลกเสมือนจริง Virtual Reality

    ตัวอย่าง  http://www.facebook.com/groups/407287332698185/421352537958331/?comment_id=421644121262506&ref=notif&notif_t=group_comment_reply#!/

                 http://www.marketingoops.com/digital/social-media/what-is-social-media/

    แหล่งอ้างอิง  http://itc.ddc.moph.go.th/manual/showimgpic.php?id=24  16 กุมภาพันธ์ 2556

    วันพฤหัสบดีที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

    Video Conference

    Video Conference

            วิดีโอมีลักษณะการส่งสัญญาณภาพเคลื่อนไหวพร้อมเสียง สัญญาณภาพที่ส่งมีลักษณะเป็น เฟรม (หนึ่งเฟรมเท่ากับหนึ่งภาพ) ในวินาทีหนึ่งต้องทำให้ได้ มากกว่า 17 เฟรม จึงจะเห็นเป็นภาพต่อเนื่อง ระบบโทรทัศน์ในประเทศไทยส่ง 25 เฟรมต่อวินาที ส่วนระบบ NTSC ที่ใช้ในสหรัฐอเมริกา ส่ง 30 เฟรมต่อวินาที
             หัวใจในการทำงานของระบบ Video Conference คือ Codec เป็นคำย่อมาจาก Code และ Decode คือ การเข้ารหัสและการถอดรหัสจากข้อมูลภาพที่มีจำนวนเส้น 625 เส้น 25 เฟรมต่อวินาที (กรณีสัญญาณ PAL ) เมื่อแปลงเป็นสัญญาณดิจิตอลแล้วจะต้องเปลี่ยนกลับเป็น Pixel หรือจุดสี ตามมาตรฐาน CCITT H.261 ซึ่งเป็นมาตรฐานสำคัญที่กำหนดในเรื่องการเข้ารหัส กำหนดจำนวนเส้นใช้เพียง 288 เส้น แต่ละ เส้นมีความละเอียด 352 pixel นั่นหมายถึงจะมีความละเอียดเท่ากับ 352×288 pixel เรียกฟอร์แมต การแสดงผลนี้ว่า Common Intermediate format และยังยอมให้ใช้ความละเอียดแบบหนึ่งในสี่ คือลดจำนวนเส้นเหลือ 144 เส้น และ pixel หรือ 176 pixel ซึ่งขึ้นอยู่กับขนาดของจอภาพ ถ้าใช้จอภาพขนาดเล็ก จำนวน pixel ก็ลดลงไปได้
    ในเครือข่ายอินเทอร์เน็ตเป็นเครือข่ายที่มีการรับส่งข้อมูลเป็นแพ็กเก็ต การส่งวิดีโอผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ย่อมเป็นไปได้ แต่เนื่องจากการส่งแพ็กเก็ตไอพีเป็นแบบดาต้าแกรม ดังนั้นจึงไม่รับรองช่วงระยะเวลาการเดินทางของข้อมูล เทคนิคการใช้วิดีโอคอนเฟอเรนซ์ จึงต้องมีการสร้างบัฟเฟอร์และแก้ปัญหาที่แต่ละแพ็กเก็ตมายังปลายทางไม่พร้อมกัน เรียกปัญหานี้ว่า jitter
    การใช้งานตามวัตถุประสงค์
    ในปัจจุบัน สำนักคอมพิวเตอร์ได้พัฒนาการใช้งานระบบ Video Conferencing โดยแบ่งตามวัตถุประสงค์ออกเป็น 3 ประเภท คือ


    - การใช้ระบบ Video Conferencing สำหรับการประชุมข้ามวิทยาเขต ข้ามหน่วยงาน- การใช้ระบบ Video Conferencing สำหรับการเรียนการสอนทางไกล (Distance Learning)
    - การใช้ระบบ Video Conferencing สำหรับการสอบวิทยานิพนธ์ข้ามประเทศ
    นอกจากนี้ระบบ Video Conferencing ยังมีคุณสมบัติพิเศษอื่นๆ อีก อาทิ
    Transfer File รับ-ส่ง แฟ้มข้อมูลเช่น MS Word หรือ MS Excel เป็นต้น
    โต้ตอบ ด้วยการเขียนผ่าน White Board ของโปรแกรม
    เปิด Share desktop เพื่อดู Presentation ได้พร้อม ๆ กัน


    ประวัติความเป็นมา  VDO Conference
            ความหมายของ VDO Conference คือ การประชุมกันโดยมองเห็นกันด้วยวิธีการทางเทคโนโลยีการสื่อสาร โดยไม่ต้องมาพบกันจริงๆ โดยการประชุมกันนั้นอาจเป็นรูปแบบ การประชุมกันของกลุ่มบุคคลในสถานที่ต่างๆ โดยใช้อุปกรณ์ด้านการสื่อสารและเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ เข้ามาช่วย ทำให้ไม่ต้องเดินทาง ไม่เสียเวลา ไม่เสียค่าใช้จ่ายอื่นๆ หลายอย่าง เช่นค่าที่พัก ค่าสถานที่ ฯลฯ ในด้านการศึกษา คงหมายถึงการศึกษาผ่านระบบการสื่อสาร ทำให้ผู้เรียน ไม่ต้องเดินทางเข้ามาที่สถานศึกษา ผู้สอนไม่ต้องตระเวณไปสอนในสถานที่ต่างๆ เพียงจัดเตรียมสถานที่ในพื้นที่ที่ต้องการ และเตรียมอุปกรณ์สำหรับการสื่อสารและแสดงภาพ เมื่อระบบเริ่มทำงาน ผู้เรียนในสถานที่ต่างๆ จะเรียนไปพร้อมๆ กัน เช่้น ภาคเหนือ ภาคใต้ ภาคอีสาน ภาคตะวันออก ภาคตะวันตก ภาคกลาง และสามารถสอบถามหรือโต้ตอบกันโดยใช้ระบบสื่อสารที่มี จะเห็นได้ว่าประหยัดและได้ประโยชน์อย่างยิ่งเป็นการใช้ทรัพยากรบุคคลที่มีความรู้ความสามารถได้อย่างกว้างขวาง

               การใช้งาน Video Conferencingในปัจจุบันการใช้งานระบบ Video Conferencing ภายในมหาวิทยาลัยมหิดลสามารถแบ่งตามลักษณะการใช้งานออกเป็น 3 ประเภท ดังนี้

    การใช้งานระบบ Video Conferencing สำหรับการประชุมทางไกลระหว่างวิทยาเขต/หน่วยงาน
    การใช้งานระบบ Video Conferencing สำหรับการเรียนการสอนทางไกล และการอบรมทางไกล
    การใช้งานระบบ Video Conferencing สำหรับการสอบป้องกันวิทยานิพนธ์ระหว่างประเทศ

    ชุดอุปกรณ์และโปรแกรม Video Conferencin
    อุปกรณ์เชื่อมต่อระบบ video conferencing ติดตั้งสำหรับห้องประชุมหลัก มีความเร็วสูงสุด 2 Mbps H.323/2 Mbps SIP/512 kbps H.320/2.3 Mbps total MultiSiteสามารถเชื่อมต่อวิดีโอได้ 4 จุดและระบบเสียง 3 จุด พร้อมระบบ MultiSite ในตัว เชื่อมต่อกับโน้ตบุ๊คนำเสนอผลงานได้ง่าย ๆ มีระบบเสียงคุณภาพระดับ CD Stereo
    การใช้ระบบ Video Conferencing
    1.แจ้งข้อมูลเบื้องต้นในการขอใช้งานระบบ Video Conferencing ดังนี้
    จำนวนอาจารย์
    จำนวนผู้สังเกตการณ์
    วัน…..เวลา….
    ชื่อหน่วยงาน………. ประเทศ…………ที่ทำการ Video Conferencing
    หมายเลข IP Address หรือโปรแกรมที่ใช้ Video Conferencing………………………. ของหน่วยงานที่ทำการ Video Conferencing

    2.Download แบบฟอร์มการขอใช้งานระบบ Video Conferencing และแจ้งรายละเอียดการขอใช้บริการตามแบบฟอร์ม “แบบฟอร์มการขอใช้งานระบบ Video Conferencing” คลิกที่นี่ Download แบบฟอร์ม <!– ขอปิดไปก่อนต้องแก้ไขระบบใหม่ และ
    คลิกที่นี่ แบบฟอร์ม Online–>และ คลิกที่นี่ แบบฟอร์ม Online
    ส่งแบบฟอร์มการขอใช้งานระบบ Video Conferencing ได้ในวันทดสอบหรือวันสอบจริง
    3.ผู้ขอใช้บริการต้องส่ง File Presentation ที่จะใช้ในการ Conference เพื่อทำการ ติดตั้ง และทดสอบกับระบบ Video Conferencing
    4.ผู้ขอใช้บริการทำการทดสอบระบบ Video Conferencing ก่อนการใช้งานจริงอย่างน้อย 1 สัปดาห์
    5.ในวันใช้งานจริง ผู้ขอใช้บริการจะต้องมาถึงห้อง Conference ก่อนเวลาใช้งานอย่างน้อย 30 นาที
    6.หลังจากสิ้นสุดการใช้บริการ Video Conferencing ผู้ขอใช้บริการทำการติดต่อเจ้าหน้าที่เพื่อชำระค่าบริการ
    7.ทางหน่วยงานจะทำการจัดส่งแผ่น DVD บันทึกการประชุมผ่านระบบ Video Conferencing ให้กับผู้ใช้บริการภายใน 1 สัปดาห์





    ตัวอย่างแผนภาพการเชื่อมต่อ Video Conference
            
            จากภาพข้างบนหลักการทำงานของการเชื่อมต่อวีดีโอคอนเฟอร์เรนซ์
    ขั้นตอนการทำงานเริ่มจากติดตั้งชุดอุปกรณ์ประกอบด้วย กล้องคอนเฟอร์เรนซ์ , Codec, Microphone , ลำโพง,จอภาพ เป็นการต่ออุปกรณ์ของยี่ห้องโพลีคอมที่มีคุณสมบัติเฉพาะ
    สามารถประชุมกันได้ 4 ที่ โดยไม่ต้องผ่าน MCUซึ่งจากภาพยกตัวอย่างการประชุม
    คอนเฟอร์เรนซ์ส่วนกลาง (กรุงเทพฯ) ไปยังต่างจังหวัดทั้งหมด 3 จังหวัดซึ่งแต่ละจังหวัด
    จะมีหมายเลขไอพีสาธารณะ (public IP)โดยการทำงานของคอนเฟอร์เรนซ์    เริ่มจาก
    ส่วนกลางเป็นเจ้าภาพในการประชุม จากนั้นทั้ง 3 จังหวัด จะทำการ call เข้ามาที่ส่วนกลาง
    เพื่อเชื่อมต่ออุปกรณ์โคเด็ก ซึ่งแต่ละsiteจะมีโคเด็กเป็นตัวรับและส่งหรือเข้ารหัสและถอด
    รหัส ผ่านช่องสัญญาณ ADSL ซึ่งแต่ละsite จะสามารถเชื่อมต่อกันได้ผ่านหมายเลขไอพี เมื่ออุปกรณ์เชื่อมต่อกันแล้วจะสามารถสนทนากันได้
           ตัวอย่างแผนภาพการเชื่อมต่อวีดีโอคอนเฟอร์เรนซ์ผ่าน MCU
          
         จากภาพข้างบนหลักการทำงานของการเชื่อมต่อวีดีโอคอนเฟอร์เรนซ์ผ่าน MCU
          ขั้นตอนการทำงานเริ่มจากติดตั้งชุดอุปกรณ์ประกอบด้วย กล้องคอนเฟอร์เรนซ์ , Codec, Microphone,ลำโพง,จอภาพเป็นการต่ออุปกรณ์ของยี่ห้องโพลีคอมผ่านอุปกรณ์ MCUสามารถรองรับการประชุมได้หลายจุดซึ่งจากภาพยกตัวอย่างการประชุมคอนเฟอร์
    เรนซ์ ส่วนกลาง (กรุงเทพฯ) ไปยังต่างจังหวัดทั้งหมด 4 จังหวัดซึ่งแต่ละจังหวัดจะมีหมาย
    เลขไอพีสาธารณะ (public IP) โดยการทำงานของคอนเฟอร์เรนซ์เริ่มจากโคเด็กเชื่อมต่อ
    หมายเลขไอพีกับ MCU(Multipoint Control Unit(MCU) เป็นอุปกรณ์ทำหน้าที่รวบรวม,
    ประมวลผลและควบคุมการประชุมที่มากกว่า 2 การประชุมขึ้นไปอุปกรณ์ชนิดนี้มีทั้งแบบ
    ฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ ซึ่งโดยส่วนใหญ่ MCU ที่ใช้ Software base จะทำงานบนระบบ
    ปฏิบัติการวินโดว์NT/2000 server,Unix และ Linux) และต่อ Notebook เข้ากับ MCU เพื่อใช้ Control การทำงานทั้งหมดจากนั้นทุก site จะทำการ call เข้ามาที่ส่วนกลาง
    โดยผ่านช่องสัญญาณ ADSL โดยมี H.323 เป็นตัวเชื่อมต่ออุปกรณ์ Video conference Over IP สามารถคุยกับอุปกรณ์ Video Conference Over ISDN จากนั้นผู้ที่ทำหน้าที่ control จะทำการเชื่อมต่อทุก site ให้ทำงาน

            ตัวอย่างหน่วยงานที่นำระบบการประชุมผ่านวีดีโอมาประยุกต์ใช้

           สถาบันการศึกษา

           ด้วยความก้าวหน้าในเรื่องเทคโนโลยี และเรากำลังก้าวเข้าสู่ยุคโลกาภิวัฒน์ ให้การเรียนทางไกล
    เป็นที่แพร่หลายกว่าในอดีต   โดยระบบการประชุมผ่านวีดีโอเข้ามามีบทบาทในการศึกษาทุกรูปแบบ
    นักเรียนสามารถพูดคุยกับเพื่อน ๆ ทั่วโลกในการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม   และการพัฒนาความเป็นสากล
    ในระดับการศึกษาขั้นสูงขึ้นซึ่งมีหลักสูตรการเรียนการสอน จัดขึ้นที่วิทยาเขตหลักกับวิทยาเขต
    ทางดาวเทียม   โดยมีการสอนทางไกลแบบมีการโต้ตอบระหว่างผู้เรียนกับผู้สอน อีกทั้งยังสามารถ
    ข้ามเครือข่ายเพื่อให้ นักเรียนทางไกลสามรถดูการบรรยายผ่านทางเวปได้   ทำให้อาจารย์สามารถ
    สอนนักเรียนได ้ในจำนวนมากขึ้น และเพิ่มจำนวนชั้นเรียนตลอดจนสามารถลงทะเบียนเข้าเรียน
    ได้เพิ่มมากขึ้นอีกด้วย ยิ่งกว่านั้น   ระบบการประชุมผ่านวิดีโอได้เข้ามามีบทบาทในการพัฒนา
    การสื่อสาร ระหว่างผู้บริหาร การศึกษา คณาจารย์ เจ้าหน้าที่   และนักเรียนให้สามารถติดต่อสื่อสารกัน
    ได้ง่ายยิ่งขึ้น


    ลักษณะการใช้ประโยชน์
    ระบบ Video Conferencing ทำให้การประชุมข้ามวิทยาเขต/ ข้ามหน่วยงาน การเรียนการสอนทางไกล (Distance Learning) และการสอบวิทยานิพนธ์ข้ามประเทศ ซึ่งอยู่ต่างสถานที่กันในหลายจุด มีการดำเนินกิจกรรมที่เสมือนอยู่ในห้องเดียวกันในลักษณะ Real Time Interactive ทำให้ประหยัดเวลา และค่าใช้จ่ายในการเดินทาง อีกทั้งยังเป็นการสนับสนุนงานการเรียนการสอน งานพัฒนาทางด้านวิชาการ ตลอดจนการบริหารงานของมหาวิทยาลัยให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ สะดวกรวดเร็ว อีกทั้งแสดงให้เห็นถึงศักยภาพทางด้าน ICT ของมหาวิทยาลัย ที่ถึงพร้อมด้วยโครงสร้างพื้นฐานที่สมบูรณ์แบบทั้งเครือข่ายสื่อสาร ระบบเครื่องคอมพิวเตอร์ ข้อมูลข่าวสาร และบุคลากรด้าน ICT
    ปัจจุบันสำนักคอมพิวเตอร์ได้ติดตั้งระบบ Video Conferencing แล้วในทุกวิทยาเขต รวม 39 จุด และมีแผนที่จะติดตั้งเพิ่มเติมตามความต้องการของหน่วยงานต่างๆ เพื่อสนับสนุนงานการเรียนการสอน การวิจัย การบริหาร และบริการ ให้มีสะดวกรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
    อุปกรณ์ที่ใช้ในการประชุม Video Conference
    อุปกรณ์เชื่อมต่อระบบ video conferencing ติดตั้งสำหรับห้องประชุมหลัก มีความเร็วสูงสุด 2 Mbps H.323/2 Mbps SIP/512 kbps H.320/2.3 Mbps total MultiSiteสามารถเชื่อมต่อวิดีโอได้ 4 จุดและระบบเสียง 3 จุด พร้อมระบบ MultiSite ในตัว เชื่อมต่อกับโน้ตบุ๊คนำเสนอผลงานได้ง่าย ๆ มีระบบเสียงคุณภาพระดับ CD Stereo
    โปรแกรมที่ใช้
    โปรแกรม Polycom PVX
    โปรแกรม Video Conferencing แบบ peer to peer ที่สามารถปรับเปลี่ยน แบรนวิดท์ ในการconnect ได้ตั้งแต่ 64 k- 1920k จึงทำให้การติดต่อสื่อสารมีความหลากหลายและเหมาะสมกับสถานที่นั้นๆ และมีการติดต่อสื่อสารแบบ H.323, SIP, และ ISDN สามารถแชร์หน้าจอเดสท็อปร่วมกันได้ (ใช้ได้เฉพาะกับ PolycomPVX ด้วยกันเท่านั้น) รวมทั้งมีการจัดเก็บรายชื่อคู่สนทนาไว้อย่างเป็นหมวดหมู่ใน Directory จึงทำให้สามารถติดต่อคู่สนทนาได้สะดวกรวดเร็ว
    โปรแกรม AcuCONFERENCE
    โปรแกรม AcuCONFERENCE เป็นโปรแกรมแบบ Web Conference มีขั้นตอนการใช้งานที่ง่ายและประหยัดเวลา ใช้งานผ่าน web browser ทุกห้องที่เข้าร่วมประชุมจะต้องล็อกอิน (Log in) เข้าโปรแกรม AcuCONFERENCE จากอีเมล์ที่แจ้งนัดการประชุมก่อนจึงจะสามารถประชุมร่วมกันได้ ซึ่งเครื่องคอมพิวเตอร์หรือ Notebook ที่ใช้นั้นควรติดตั้งกล้อง ไมโครโฟน และลำโพงเพื่อช่วยเพิ่มระดับเสียงในการสนทนา ระยะแรกสามารถติดต่อใช้งานได้ 5 จุดพร้อมกัน สามารถแชร์โปรแกรมและหน้าเดสท็อป (Desktop) ได้ สามารถบันทึกเนื้อหาการประชุมได้ในรูปแบบของไฟล์วิดีโอ
    โปรแกรม Skype
    คือโปรแกรมที่ใช้โทรฟรีระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์และสนทนาแบบเห็นภาพสดๆ ผ่านกล้อง webcam ผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตซึ่งมีจุดเด่นด้านคุณภาพเสียง เนื่องจากการเชื่อมต่อของ Skype นั้นเป็นแบบ P2P หรือแบบจุดต่อจุดโดยไม่ต้องผ่านเซิร์ฟเวอร์ และสามารถโทรหาผู้คนได้ทั่วโลก (มีค่าใช้จ่ายตามเรตประเทศ) และยังซัพพอร์ตระบบ Windows, Mac OS X, Linux ,Pocket PCs เป็นต้น
    วิธีการใช้งานโปรแกรม


    วิธีการติดตั้ง และใช้งานโปรแกรม Camfrog
    หลังจากนั้นทำการ install program แล้วเริ่มทำการ Register Id กันได้เลย
    กรอกข้อมูล ตามรูป 1 ,2



     ระบบจะทำการ check id หากผ่านก้อจะปรากฎหน้าจอเสร็จสิ้นดังรูปด้านล่าง






    หลังจากนั้นทำการ sign in ตามรูปด้านล่าง






    เมื่อ sign in ผ่านเสร็จแล้วจะปรากฎหน้าจอข้างล่าง
    จากภาพจะเห็นปุ่มด้านล่าง ได้แก่ IM , Join Chat , Add Contact, Setting
    IM คือการส่ง Instant message คล้าย msn เมื่อกดทำการพิมชื่อคนที่เราต้องการ
    ส่งข้อความหา จากนั้นกด OK จะปรากฎหน้าจอดังรูปด้านล่าง


    Join Chat คือการเข้า chat ในห้อง Chat room เมื่อกดจะให้เรากรอกชื่อห้องในที่นี้
    กรอก PublicHot ได้เลย Chat room ของเวปเรา
    เมื่อกด OK ก้อจะเข้าสู่ระบบห้อง กด yes เพื่อยอมรับตามข้อตกลงของห้อง ^ ^

     



    เมื่อเข้ามาแล้วก้อจะเป็นห้อง chat room โดยด้านซ้ายจะเป็นรายชื่อคนออนไลน์ในห้อง
    ด้านล่างเป็นที่พิมพ์มี emotion เล็กน้อย ส่วนปุ่ม Talk หรือ Handfree ไว้สำหรับพูดผ่านไมค์



    ตัว Icon รูปคนหน้าชื่อที่มีกล้อง คือ ID นั้นมีการต่อเวปแคม สามารถกดที่ชื่อก้อจะปรากฎภาพ
    ดังรูป น้องจีนน้องสาวสุดนารักของห้องเรา







    โปรแกรมฟรี จะกดดูได้ทีละคนเท่านั้น ถ้าเสียตังก้อดูได้ 100 จอในเวลาเดียวกันเลย
    ตัวเสื้อสีฟ้า คือ ID ที่ลงทะเบียนเป็น Male
    ตัวเสื้อสีชมพู คือ ID ที่ลงทะเบียนเป็น Female
    ตัวชื่อหนา คือ ID นั้นทำการซื้อ Product เป็น camfrog Pro ซึ่งจะมี option มากกว่าตัวฟรี
    ส่วนสีของชื่อนั้นจ
    ะขึ้นอยู่กับแต่ละห้อง แต่งตั้งโดย Owner ของห้อง
    สีดำ คือ User ทั่วไป
    สีน้ำเงิน คือ เพื่อน
    สีเขียว คือ ผู้ดูแลห้อง
    สีแดง คือ Owner (เจ้าของห้อง)
    ส่วน Add Contact คือการ Add user หรือห้องเข้า Contact list โดยการพิมพ์
    ชื่อ User หรือ Chat room ที่ต้องการแล้วกด OK
    Setting คือการ set ค่าต่างๆ




    แหล่งอ้างอิง http://maynynatdawan.wordpress.com/2012/08/17/video-conference-%E0%B8%84%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%A3/ 14 กุมภาพันธ์ 2556
    http://hatairat156.wordpress.com/2012/08/17/video-conference-%E0%B8%84%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%A3/18 กุมภาพันธ์ 2556

    Webquest

    Webquest "บทเรียนแสวงรู้บนเว็บ"

    Web Quest
          (Dodge,1997)  Web Quest คือกิจกรรมการเรียนการสอนที่เน้นการแสวงรู้ โดยมีฐานสารสนเทศที่ผู้เรียนจะมีปฏิสัมพันธ์ด้วย บนแหล่งต่างๆบนอินเทอร์เน็ต และอาจเสริมด้วยระบบการประชุมทางไกล โดยมีเป้าหมายที่จะนำแหล่งความรู้ที่หลากหลายบนเครือข่าย World Wide Web มาใช้เป็นฐานในการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ โดยผู้เรียนแสวงรู้จากแหล่งความรู้ที่จัดไว้อย่างเป็นระบบ Web Quest ได้รับการออกแบบที่จะใช้เวลาของผู้เรียนอย่างมีประสิทธิภาพ เน้นการใช้สารสนเทศมากกว่าการแสวงหาสารสนเทศ
         (วสันต์ อติศัพท์, 2547) ได้ให้คำจำกัดความภาษาไทยว่า “บทเรียนแสวงรู้บนเว็บ” ซึ่งหมายถึงเว็บเพื่อการเรียนรู้ที่ผู้เรียนสามารถที่จะสร้างองค์ความรู้ได้ด้วยตนเอง
         ความหมายโดยรวม Web Quest  คือเป็นการใช้แหล่งความรู้ที่มีอยู่มากมายบนระบบอินเทอร์เน็ตมาจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยผู้สอนในรูปแบบของกิจกรรมและสมมติฐาน โดยมุ่งหวังให้ผู้เรียนสามารถนำความรู้ที่ได้มาบูรณาการ ฝึกนิสัยและทักษะในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า กระบวนการทำงานกลุ่มและการสืบค้นข้อมูลจากแหล่งความรู้ต่างๆ บนระบบอินเทอร์เน็ต”

    ประเภทของ Web Quest
    1. Web Quest ระยะสั้น (Quest Short Term Web Quest ) มีเป้าหมายเพื่อให้ผู้เรียนแสวงหาและบูรณาการความรู้ในระดับเบื้องต้น ที่ผู้เรียนจะเผชิญและสร้างประสบการณ์กับแหล่งความรู้ใหม่ๆ ที่สำคัญจำนวนหนึ่งและสร้างความหมายให้กับประสบการณ์การเรียนรู้ของตนเอง Web Quest ประเภทนี้ใช้เวลาในการศึกษาประมาณ 1 - 3 คาบเรียน
    2. Web Quest ระยะยาว (Longer Term Web Quest) มีเป้าหมายเพื่อพัฒนาระดับการคิดขั้นสูงของผู้เรียน ซึ่งเมื่อจบบทเรียนแล้ว ผู้เรียนสามารถวิเคราะห์องค์ความรู้ที่ลึกซึ้งและถ่ายโอนไปใช้ในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งได้ และสามารถแสดงออกถึงความเข้าใจในเนื้อหานั้นด้วยการสร้างสรรค์ชิ้นงานออกมา อาจจะอยู่บนเครือข่ายคอมพิวเตอร์ หรือในรูปแบบอื่นก็ได้ โดยทั่วไป Web Quest แบบนี้จะใช้เวลาศึกษาประมาณ 1 สัปดาห์ถึง 1 เดือน

    หลักการออกแบบ Web Quest
    หลักการสำคัญในการออกแบบ Web Quest เพื่อส่งเสริมประสบการณ์การเรียนรู้แก่ผู้เรียนระดับต่างๆดังนี้
    1. จัดหาหัวเรื่องที่เหมาะสมกับการสร้าง Web Quest จูงใจผู้เรียน  เพราะ Web Quest เป็นงานสร้างสรรค์ที่ให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ในสภาพแวดล้อมใหม่ด้วยการประกอบกิจกรรมเองเป็นหลัก
    2. จัดหาแหล่งสนับสนุนแหล่งการเรียนรู้ Web sites ต่างๆ เป็นแหล่งการเรียนรู้ที่สำคัญที่จะต้องได้รับการจัดหา คัดสรร และจัดหมวดหมู่เป็นอย่างดี ผ่านการกลั่นกรองว่ามีเนื้อหาที่สอดคล้องต่อหลักสูตรและวัตถุประสงค์ของบทเรียน
    3. ออกแบบกิจกรรมการเรียนการสอน การสร้างสรรค์กิจกรรมใน Web Quest นั้นมีสิ่งที่ควรคำนึงต่อไปนี้
        - เน้นการใช้กิจกรรมกลุ่ม ที่ให้ผู้เรียนร่วมกันประกอบกิจกรรม ร่วมกันคิด ร่วมประสบการณ์และร่วมกันสร้างสรรค์ผลงานออกมา ทั้งในชั้นเรียน ห้องสมุด ห้องคอมพิวเตอร์ หรือแม้แต่ที่บ้าน
       - การจูงใจผู้เรียน ด้วยการให้ผู้เรียนเข้าไปมีบทบาทในบทเรียนในรูปของบทบาทสมมติให้มากที่สุด ไม่ว่าในฐานะนักวิทยาศาสตร์ นักสืบ ผู้สื่อข่าว หมอ ฯลฯ สร้างสถานการณ์ให้น่าสนใจ เร้าใจให้พวกเขาติดตาม ร่วมกิจกรรมอย่างกระฉับกระเฉง
       - การพัฒนาในรูปแบบรายวิชาเดี่ยวหรือแบบสหวิทยาการ ในรูปแบบแรกอาจจะดูง่ายในการพัฒนาแต่อาจจะจำกัดการเรียนรู้ สร้างประสบการณ์ชีวิตในบริบทจริง ในขณะที่รูปแบบหลังส่งเสริมประเด็นนี้ได้ดีกว่า และสร้างประสบการณ์ในเชิงลึกแก่ผู้เรียน
    4. พัฒนาโปรแกรม สามารถทำได้ทั้งด้วยการเขียนโปรแกรมเพื่อสร้าง web page ด้วยตนเอง ด้วยการใช้โปรแกรมสำเร็จรูปประเภท FrontPage, Dream Weaver, Composer, etc. หรือการจัดหาต้นแบบ(Template) ที่มีอยู่แล้ว ซึ่งทำให้ง่ายเพราะเพียงแต่ออกแบบกิจกรรมและเอาเนื้อหาใส่เข้าไป ซึ่งจะลดปัญหาด้านความจำกัดเกี่ยวกับการพัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์ลงไป ผู้ที่ต้องการต้นแบบนี้สามารถหาได้จาก websites ต่างๆ ได้ไม่ยากนัก
    5. ทดลองใช้และปรับปรุง ด้วยการหากลุ่มเป้าหมายมาทดลองใช้บทเรียน ดูจุดดีจุดด้อยของบทเรียนและปรับปรุงให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น

    องค์ประกอบของ  Web Quest
             Web Quest ที่ดีจะต้องได้รับการออกแบบสำหรับผู้เรียนที่จะเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง โดยมีครูเป็นผู้อำนวยความสะดวกในการเรียนการสอน เป็นโครงการที่สร้างสรรค์ ที่มีช่องทางที่ยืดหยุ่นสำหรับผู้เรียนที่จะแสดงออกและการเชื่อมต่อกับแหล่งความรู้ที่จะเป็นประโยชน์ต่อโครงการ สิ่งที่ควรเน้นคือการเรียนรู้อย่างร่วมมือระหว่างผู้เรียน โดยมีองค์ประกอบที่สำคัญอยู่ 6 ส่วนคือ
    1. บทนำ (Introduction) เป็นขั้นเตรียมตัวผู้เรียนในการที่จะนำเข้าสู่กิจกรรมการเรียนการสอน โดยทั่วไปมักจะเป็นการให้สถานการณ์ ที่จะให้ผู้เรียนร่วมแก้ปัญหา หรือปฏิบัติกิจกรรมการเรียนรู้ที่ออกแบบไว้
    2. ภารกิจ (Task) เป็นปัญหาหรือประเด็นที่สำคัญที่ผู้เรียนจะต้องดำเนินการเพื่อหาคำตอบ
    3. กระบวนการ (Process) เป็นการชี้แจงว่าผู้เรียนจะต้องปฏิบัติกิจกรรมใดบ้าง เพื่อให้บรรลุภารกิจที่วางไว้ โดยมีความยืดหยุ่นให้ผู้เรียนสร้างสรรค์ด้วย จะต้องกิจกรรมทีนำไปสู่ขั้นวิเคราะห์ สังเคราะห์และการประเมินค่า กิจกรรมนั้นควรที่จะเน้นการสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง (Constructivism) และ กระบวนการเรียนแบบร่วมมือ (Cooperative learning)
    4. แหล่งความรู้ (Resources) เป็นการให้แหล่งสารสนเทศที่มีบน World Wide Web เพื่อว่าผู้เรียนสามารถนำสาระความรู้เหล่านั้นมาแก้ปัญหาที่ได้รับมอบหมาย โดยเน้นแหล่งความรู้หลายแหล่ง และมีความหลากหลาย
    5. การประเมินผล (Evaluation) เป็นขั้นการติดตามว่าผู้เรียนบรรลุวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้เพียงใด จะเน้นการวัดผลในสภาพที่เป็นจริง (Authentic assessment) ซึ่งอาจออกมาในรูปของการประเมินเชิงมิติ(Rubrics) การจัดทำแฟ้มข้อมูล (Portfolio)
    6. สรุป (Conclusion) บอกความสำคัญของเนื้อหาบทเรียนนั้นๆ เพื่อให้ผู้เรียนได้ความคิดรวบยอดที่ได้ช่วยกันแสวงหาและสร้างขึ้นมาเอง

    Web Quest  ที่ดีควรมีลักษณะดังต่อไปนี้
                    1. ง่ายต่อความเข้าใจในการใช้
                    2. ใช้แหล่งความรู้ที่ดีและมีคุณภาพ
                    3. สร้างบทเรียนที่จูงใจผู้เรียน
                    4. ขั้นภารกิจต้องอธิบายให้ชัดเจน
                    5. ส่งเสริมให้ผู้เรียนได้รู้จักการคิดวิเคราะห์และสังเคราะห์
                    6. เสริมสร้างประสบการณ์การเรียนรู้ที่สนุกสนานให้แก่ผู้เรียน
                    7. ช่วยให้ผู้เรียนได้รู้จักใช้อินเทอร์เน็ตเป็นเครื่องมือสืบค้นข้อมูล
                    8. ผู้เรียนได้เรียนรู้การทำงานเป็นกลุ่ม

            Web Quest  เป็น “บทเรียนแสวงรู้บนเว็บ” ที่สร้างสภาพแวดล้อมใหม่ในการเรียนรู้ในสังคมสารสนเทศ ที่มีแหล่งความรู้ที่หลากหลายและไร้พรมแดน โดยเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ผู้เรียนไม่เพียงแต่ได้องค์ความรู้ที่กลุ่มผู้เรียนสร้างสรรค์ขึ้นเอง หากแต่ผู้เรียนยังได้พบกับโลกกว้างแห่งความรู้ สิ่งที่ต้องคำนึงคือการส่งเสริมให้ผู้เรียนมีความคิดอย่างตริตรอง ใคร่ครวญในสารสนเทศที่ได้มา เพราะยังมีสารสนเทศบน World Wide Web อีกจำนวนมากที่ไม่ได้ผ่านการกลั่นกรองและผู้ออกแบบบทเรียนประเภทนี้ต้องคำนึงถึงจุดอ่อนนี้ด้วย

    ตัวอย่าง http://eduit.pn.psu.ac.th/edtech/webquest/museum/webquest/index.htm
    http://www.elearning.msu.ac.th/0503715/index.php
    http://ouray.cudenver.edu/~dl0young/
    http://www.internet4classrooms.com/tide.htm
    http://www.iwebquest.com/greece/greece.htm
    http://www.iwebquest.com/egypt/ancientegypt.htm


    แหล่งอ้างอิง
    http://www.pochanukul.com/?p=46 14 กุมภาพันธ์ 2556
    http://iwebquest.com/egypt/ancintegypt.htm14 กุมภาพันธ์ 2556
    http://learners.in.th/blog/krusang2/21063014 กุมภาพันธ์ 2556
    http://www.bestwebquests.com/what_webquests_are.asp14 กุมภาพันธ์ 2556
    http://www.ipst.ac.th/it/rosegarden/somsri.htm14 กุมภาพันธ์ 2556
    http://www.wikipedia.org14 กุมภาพันธ์ 2556
    http://202.44.14.13/krugong/TeachWeb/seminaracrobat/article3.pdf14 กุมภาพันธ์ 2556
    http://www.unescobkk.org/fileadmin/user_upload/ict/Next_Gen_Project/Coaching_Workshop/Webquest_Activity.pdf14 กุมภาพันธ์ 2556
    http://student.nu.ac.th/birdmaster/14 กุมภาพันธ์ 2556
    http://krununu.com/business_intro.html14 กุมภาพันธ์ 2556

    E-Book

    E-Book

           e-Book ย่อมาจากคำว่า Electronic Book หมายถึงหนังสือที่สร้างขึ้นด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ มีลักษณะเป็นเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ โดยปกติมักจะเป็นแฟ้มข้อมูลที่สามารถอ่านเอกสารผ่านทางหน้าจอคอมพิวเตอร์ ทั้งในระบบออฟไลน์ และออนไลน์
    คุณลักษณะของหนังสืออิเล็กทรอนิกส์สามารถเชื่อมโยงจุดไปยังส่วนต่าง ๆ ของหนังสือ เว็บไซต์ต่าง ๆ ตลอดจนมีปฏิสัมพันธ์และโต้ตอบกับผู้เรียนได้ นอกจากนั้นหนังสืออิเล็กทรอนิกส์สามารถแทรกภาพ เสียง ภาพเคลื่อนไหว แบบทดสอบ และสามารถสั่งพิมพ์เอกสารที่ต้องการออกทางเครื่องพิมพ์ได้ อีกประการหนึ่งที่สำคัญก็คือ หนังสืออิเล็กทรอนิกส์สามารถปรับปรุงให้ทันสมัยได้ตลอดเวลา ซึ่งคุณสมบัติเหล่านี้จะไม่มีในหนังสือธรรมดาทั่วไป

    ความหมายของ e-Book
    e-Book ย่อมาจากคำว่า Electronic Book หมายถึงหนังสือที่สร้างขึ้นด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์
    มีลักษณะเป็นเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ โดยปกติมักจะเป็นแฟ้มข้อมูลที่สามารถอ่านเอกสารผ่านทาง
    หน้าจอคอมพิวเตอร์ ทั้งในระบบออฟไลน์ และออนไลน์
    คุณลักษณะของหนังสืออิเล็กทรอนิกส์สามารถเชื่อมโยงจุดไปยังส่วนต่าง ๆ ของหนังสือ
    เว็บไซต์ต่าง ๆ ตลอดจนมีปฏิสัมพันธ์และโต้ตอบกับผู้เรียนได้ นอกจากนั้น
    หนังสืออิเล็กทรอนิกส์สามารถแทรกภาพ เสียง ภาพเคลื่อนไหว แบบทดสอบ
    และสามารถสั่งพิมพ์เอกสารที่ต้องการออกทางเครื่องพิมพ์ได้ อีกประการหนึ่งที่สำคัญก็คือ
     หนังสืออิเล็กทรอนิกส์สามารถปรับปรุงให้ทันสมัยได้ตลอดเวลา ซึ่งคุณสมบัติเหล่านี้จะไม่มีในหนังสือธรรมดาทั่วไป

    โปรแกรมที่นิยมใช้สร้าง e-Book
    โปรแกรมที่นิยมใช้สร้าง e-Book มีอยู่หลายโปรแกรม แต่ที่นิยมใช้กันมากในปัจจุบัน ได้แก่
    1. โปรแกรมชุด Flip Album

    2. โปรแกรม DeskTop Author

    3. โปรแกรม Flash Album Deluxe

    ชุดโปรแกรมทั้ง 3 จะต้องติดตั้งโปรแกรมสำหรับอ่าน e-Book ด้วย มิฉะนั้นแล้วจะเปิดเอกสารไม่ได้ ประกอบด้วย
    1. โปรแกรมชุด Flip Album ตัวอ่านคือ Flip Viewer


    2. โปรแกรมชุด DeskTop Author ตัวอ่านคือ DNL Reader


    3. โปรแกรมชุด Flash Album Deluxe ตัวอ่านคือ Flash Player


    โปรแกรมที่นิยมใช้สร้าง e-Book

    โปรแกรมที่นิยมใช้สร้าง e-Book มีอยู่หลายโปรแกรม แต่ที่นิยมใช้กันมากในปัจจุบัน ได้แก่
    1. โปรแกรมชุด Flip Album

    2. โปรแกรม DeskTop Author

    3. โปรแกรม Flash Album Deluxe

    ชุดโปรแกรมทั้ง 3 จะต้องติดตั้งโปรแกรมสำหรับอ่าน e-Book ด้วย มิฉะนั้นแล้วจะเปิดเอกสารไม่ได้ ประกอบด้วย
    1. โปรแกรมชุด Flip Album ตัวอ่านคือ Flip Viewer


    2. โปรแกรมชุด DeskTop Author ตัวอ่านคือ DNL Reader


    3. โปรแกรมชุด Flash Album Deluxe ตัวอ่านคือ Flash Player




    ตัวอย่าง  e-book.com  http://www.electron.rmutphysics.com/physics/charud/scibook/ru-book-4/basic-science/basic-science1.htm

    การนำไปประยุกต์ใช้ในการเรียนการสอน  ผู้เรียนสามารถสร้างหนังสือของตนเองโดยไม่ต้องเปลืองกระดาษ สามารถสร้างงานได้โดยง่าย ซึ่งผู้เรียนสามารถเป็นผู้ออกแบบหนังสือของตนเอง 
    แหล่งอ้างอิง  http://www.srb1.go.th/anuban/e_book/meanebook.htm14กุมภาพันธ์ 2556

    (BLOG)

    บล็อก (BLOG)  


              บล็อกมาจากการผสมคำระหว่าง  WEB ( Wolrd Wide Web) +LOG (บันทึก)  = BLOG  คือ เว็บไซต์ที่เจ้าของ หรือ Blogger สามารถบันทึกเรื่องราวของตนเองลงในเว็บได้ตลอดเวลา  การสร้างเว็บบล็อกสามารถทำได้ง่ายๆ ด้วยตัวเอง ไม่ซับซ้อน ไม่เสียสตางค์ ไม่จำเป็นต้องรู้ภาษา HTML อย่างน้อยขอให้มีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับอินเทอร์เน็ตและเว็บไซต์
    ภายในเว็บบล็อก จะมีระบบบริหารจัดการเว็บไซต์พื้นฐานให้แล้ว โดยการสร้างเครื่องมือสำหรับ เขียนเรื่อง โพสรูป จัดหมวดหมู่ และลูกเล่นอื่นๆ ที่ผู้จัดทำพยายามสร้างเพื่อดึงดูดผู้คนจากทั่วโลก ให้เข้าไปใช้บริการ เสน่ห์ของบล็อกอยู่ที่ผู้อ่านและผู้เขียนสามารถโต้ตอบกันได้ (Interactive) โดยการแสดงความคิดเห็นต่อท้ายที่เรื่องนั้นๆ
    บางคนมองว่าการเขียนบล็อก ก็คือการเขียนไดอารี่ออนไลน์ แท้ที่จริง ไดอารี่ เป็นเพียงส่วนหนึ่งของบล็อกเท่านั้น คุณเปิดบล็อกขึ้นมาไม่ใช่เพื่อเขียนเรื่องราวในชีวิตประจำวันอย่างเดียว แต่สามารถใส่ความรู้ ประสบการณ์ เพื่อเป็นวิทยาทานให้คนอื่นๆ เช่น คุณหมอ เปิดบล็อกแนะนำเรื่องสุขภาพ เป็นต้น
    บล็อก คือ สื่อใหม่ (New Media) เป็นปรากฎการณ์ที่เปลี่ยนรูปแบบการสื่อสารในอดีตอย่างสิ้นเชิง คนเขียนบล็อก สามารถทำหน้าที่เป็นสื่อด้วยตัวเอง ไม่ต้องพึ่งสื่อสารมวลชน เขาสามารถสื่อสารกันเองในกลุ่มเล็กๆ หรือกลุ่มใหญ่ก็ได้ ถ้าเรื่องไหน เป็นที่ถูกใจ ของชาวบล็อก ชาวเน็ต คนๆ นั้น อาจจะดังได้เพียงชั่วข้ามคืน โดยไม่จำเป็นต้องอาศัยสื่อหลักช่วยเลย

    ตัวอย่าง  blog    blog.school.net.th/blogs/prasitporn.php/2011/.../-312

    การนำไปประยุกต์ใช้ในการเรียนการสอน  ช่วยให้ผู้เรียนสามารถสร้างบทความของตนเองและเผยแพร่ให้เพื่อนและบุคคลที่สนใจได้ชม  ช่วยให้ผู้สอนสามารถประเมินผลงานได้จากการแสดงความคิดเห็นของเพื่อนและบุคคลอื่นที่เข้าชมได้


    แหล่งอ้างอิง  http://www.oknation.net/blog/manual/2006/12/22/entry-4 14 กุมภาพันธ์ 2556

    e-Learning

    e-Learning
                  คำว่า e-Learning คือ การเรียน การสอนในลักษณะ หรือรูปแบบใดก็ได้ ซึ่งการถ่ายทอดเนื้อหานั้น กระทำผ่านทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์ เช่น ซีดีรอม เครือข่ายอินเทอร์เน็ต อินทราเน็ต เอ็กซทราเน็ต หรือ ทางสัญญาณโทรทัศน์ หรือ สัญญาณดาวเทียม (Satellite) ฯลฯ เป็นต้น ซึ่งการเรียนลักษณะนี้ได้มีการนำเข้าสู่ตลาดเมืองไทยในระยะหนึ่งแล้ว เช่น คอมพิวเตอร์ช่วยสอนด้วยซีดีรอม, การเรียนการสอนบนเว็บ (Web-Based Learning), การเรียนออนไลน์ (On-line Learning) การเรียนทางไกลผ่านดาวเทียม หรือ การเรียนด้วยวีดีโอผ่านออนไลน์ เป็นต้น
    ....        .ในปัจจุบัน คนส่วนใหญ่มักจะใช้คำว่า e-Learning กับการเรียน การสอน หรือการอบรม ที่ใช้เทคโนโลยีของเว็บ (Web Based Technology) ในการถ่ายทอดเนื้อหา รวมถึงเทคโนโลยีระบบการจัดการหลักสูตร (Course Management System) ในการบริหารจัดการงานสอนด้านต่างๆ โดยผู้เรียนที่เรียนด้วยระบบ e-Learning นี้สามารถศึกษาเนื้อหาในลักษณะออนไลน์ หรือ จากแผ่นซีดี-รอม ก็ได้ และที่สำคัญอีกส่วนคือ เนื้อหาต่างๆ ของ e-Learning สามารถนำเสนอโดยอาศัยเทคโนโลยีมัลติมีเดีย (Multimedia Technology) และเทคโนโลยีเชิงโต้ตอบ (Interactive Technology)
    ....      .คำว่า e-Learning นั้นมีคำที่ใช้ได้ใกล้เคียงกันอยู่หลายคำเช่น Distance Learning (การเรียนทางไกล) Computer based training (การฝึกอบรมโดยอาศัยคอมพิวเตอร์ หรือเรียกย่อๆว่า CBT) online learning (การเรียนทางอินเตอร์เนต) เป็นต้น ดังนั้น สรุปได้ว่า ความหมายของ e-Learning คือ รูปแบบของการเรียนรู้ด้วยตนเอง โดยอาศัยเครือข่ายคอมพิวเตอร์ หรือสื่ออิเลคทรอนิกส์ในการถ่ายทอดเรื่องราว และเนื้อหา โดยสามารถมีสื่อในการนำเสนอบทเรียนได้ตั้งแต่ 1 สื่อขึ้นไป และการเรียนการสอนนั้นสามารถที่จะอยู่ในรูปของการสอนทางเดียว หรือการสอนแบบปฎิสัมพันธ์ได้




    ประโยชน์ของ e-Learning ::
    • ยืดหยุ่นในการปรับเปลี่ยนเนื้อหา และ สะดวกในการเรียนการเรียนการสอนผ่านระบบ e-Learning นั้นง่ายต่อการแก้ไขเนื้อหา และกระทำได้ตลอดเวลา เพราะสามารถกระทำได้ตามใจของผู้้สอน เนื่องจากระบบการผลิตจะใช้ คอมพิวเตอร์เป็นองค์ประกอบหลัก นอกจากนี้ผู้เรียนก็สามารถเรียนโดยไม่จำกัดเวลา และสถานที่
    • เข้าถึงได้ง่าย
      ผู้เรียน และผู้สอนสามารถเข้าถึง e-learning ได้ง่าย โดยมากจะใช้ web browser ของค่ายใดก็ได้ (แต่ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับผู้ผลิตบทเรียน อาจจะแนะนำให้ใช้ web browser แบบใดที่เหมาะกับสื่อการเรียนการสอนนั้นๆ) ผู้เรียนสามารถเรียนจากเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใดก็ได้ และในปัจจุบันนี้ การเข้าถึงเครือข่ายอินเตอร์เน็ตกระทำได้ง่ายขึ้นมาก และยังมีค่าเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตที่มีราคาต่ำลงมากว่าแต่ก่อนอีกด้วย
    • ปรับปรุงข้อมูลให้ทันสมัยกระทำได้ง่ายเนื่องจากผู้สอน หรือผู้สร้างสรรค์งาน e-Learning จะสามารถเข้าถึง server ได้จากที่ใดก็ได้ การแก้ไขข้อมูล และการปรับปรุงข้อมูล จึงทำได้ทันเวลาด้วยความรวดเร็ว
    • ประหยัดเวลา และค่าเดินทาง ผู้เรียนสามารถเรียนโดยใช้เครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องใดก็ได้ โดยจำเป็นต้องไปโรงเรียน หรือที่ทำงาน รวมทั้งไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องประจำก็ได้ ซึ่งเป็นการประหยัดเวลามาก การเรียน การสอน หรือการฝึกอบรมด้วยระบบ e-Learning นี้ จะสามารถประหยัดเวลาถึง 50% ของเวลาที่ใช้ครูสอน หรืออบรม
     
                    จากประโยชน์ของ e-Learning ดังกล่าวนี้ ทำให้ภาคเอกชนเป็นจำนวนมากหันมานิยมใช้ระบบ e-learning ในการพัฒนาบุคลากรมากขึ้น



    ตัวอย่าง         http://www.e-learningforkids.org/


     การนำไปประยุกต์ใช้ในการเรียนการสอน  ช่วยให้ผู้เรียนมีความรู้มากขึ้นและมีความสนใจเพิ่มมากขึ้นเพราะสารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง  สามารถเรียนรู้เวลาใดก็ได้  ผู้สอนมีหน้าที่ในการออกแบบเนื้อหาและสร้างบทเรียนให้หน้าสนใจ

    แหล่งอ้างอิง  http://boonin11.blogspot.com/2009/10/e-learning-e-learning-satellite-web.html 14 กุมภาพันธ์ 2556

    E-Mail


    พิมพ์


    E-Mail

              e-mail เป็นการแลกเปลี่ยนข่าวสารระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ โดยผ่านระบบโทรคมนาคม ข่าวสารหรือข้อความของ e- mail จะเป็นไฟล์ประเภทข้อความ อย่างไรก็ตามสามารถส่งไฟล์ประเภทอื่น เช่น ไฟล์ประเภทภาพหรือเสียง เป็นไฟล์ที่แนบไปในรหัสแบบ binary โดย e- mail เป็นสิ่งแรกที่ใช้อย่างกว้างขวางในอินเตอร์เน็ต และเป็นสัดส่วนใหญ่ในการใช้ traffic บนอินเตอร์เน็ต e- mail สามารถแลกเปลี่ยนระหว่างผู้ใช้ของ online service provider กับระบบเครือข่ายอื่น นอกจากนี้ ภายในอินเตอร์เน็ต e- mail เป็นโปรโตคอลแบบหนึ่งที่รวมอยู่ใน Transport Control Protocol/Internet Protocol (TCP/IP) โปรโตคอลที่นิยมสำหรับการส่ง e- mail คือ Simple Mail Transfer Protocol (SMTP) และโปรโตคอล ที่นิยมในการรับ e- mail คือ POP3 ทั้ง Netscape และ Microsoft ได้รวม e- mail และส่วนประกอบการทำงานใน web browse        อีเมล (e-Mail) คือ จดหมายอิเลคทรอนิกส์ ที่ใช้รับส่งกันโดยผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์ การใช้งานโดยพิมพ์ข้อความ จากนั้นก็คลิกคำสั่ง เพื่อส่งออกไป โดยจะมีชื่อของผู้รับ ซึ่งเราเรียกว่า Email Address เป็นหลักในการรับส่ง ส่วนประกอบของอีเมลแอดเดรส ประกอบด้วย ชื่อบัญชีสมาชิกของผู้ใช้เรียกว่า user name อาจใช้ชื่อจริง ชื่อเล่น หรือชื่อองค์กร เครื่องหมาย @ ( at) อ่านว่า แอท  และโดเมนเนม (Domain Name) เป็นที่อยู่ของอินเทอร์เน็ตเซิร์ฟเวอร์ เพื่ออ้างถึงเมลเซิร์ฟเวอร์ ส่วนสุดท้ายเป็นรหัสบอกประเภทขององค์กรและประเทศ ในที่นี้คือ .co.th โดยที่ .co หมายถึง commercial เป็นบริการเกี่ยวกับการค้า ส่วน .th หมายถึง Thailand อยู่ในประเทศไทย

                        ส่วนประกอบของอีเมล จะใช้ในลักษณะของ  MIME อินเทอร์เน็ตอีเมล ประกอบไปด้วย 2 ส่วนหลักแยกจากกัน คือ
    1.   ส่วนหัว Header e-mail ส่วนหัวของอีเมล กำหนดตามมาตรฐาน RFC 2822 โดยทั่วไปส่วนหัวประกอบด้วยข้อความและตามด้วยเครื่องหมาย ":" และตามด้วยข้อมูล ในแต่ละข้อมูลจะประกอบไปด้วยอย่างน้อย 4 หัวข้อ ได้แก่
                              1.1 จาก : ที่อยู่อีเมลผู้ส่ง และอาจจะประกอบด้วย ชื่อและนามสกุล
                              1.2  ถึง : ที่อยู่อีเมลผู้รับ และอาจจะประกอบด้วย ชื่อและนามสกุล สามารถมีได้มากกว่า 1 คน แยกกันด้วย เครื่องหมาย ","
                              1.3  หัวข้อเรื่อง : สรุปเนื้อความของข้อมูลเพื่อให้ผู้รับสามารถเข้าใจเนื้อหาของข้อความคร่าวๆ
                              1.4 สำเนา (Cc, Carbon copy)ใช้สำหรับในการส่งข้อความเดียวกันให้คนอื่น (ที่ใช้เครื่องพิมพ์ดีด กระดาษคาร์บอน ใช้ซ้อนในการพิมพ์จดหมาย)
       2.  ส่วนเนื้อความของอีเมลเป็นเนื้อหาที่ต้องการสื่อสาร ลายเซ็นอิเล็กทรอนิกส์ และอาจแนบไฟล์ไปกับเนื้อหาได้ด้วยการแบ่ง MIME แบบ multipart

    โครงสร้างและรูปแบบของชื่ออีเมล์ในเบื้องต้น

         ถ้าใครได้เคยเห็นรูปแบบ และชื่อของอีเมล์มาบ้างแล้ว ลองมาทำความเข้าใจกับ ระบบการตั้งชื่ออีเมล์กันก่อน สมมติว่าใครคนหนึ่ง บอกอีเมล์ของเขามาว่า somchai@hotmail.com (อ่านออกเสียงว่า สมชาย-แอต-ฮอทเมล์ ดอทคอม)เครื่องหมาย @ จะออกเสียงว่า "แอต"ซึ่งจะเป็นสิ่งที่ใช้คั่นอยู่ระหว่าง ชื่อและ server ของอีเมล์นั้น ๆเสมอ ชื่อของ server ที่ลงท้ายนี้ อาจจะเปลี่ยนไปได้ตามชื่อของ server ที่เปิดให้บริการอีเมล์นั้น ๆ ด้วยเช่น อาจจะลงท้ายด้วย @yahoo.com @thailand.com @mail.com หรืออะไรก็ได้ครับ ที่มีเปิดให้บริการ

        คำศัพท์ที่เกี่ยวกับอีเมล
    e-mail = Electronic mail คือ จดหมายอิเลคทรอนิคส์ที่ร่อนส่งกันไปมาในอินเตอร์เน็ต

    e-mail Address คือ ที่อยู่ทางอีเมล์ คล้าย ๆ กับที่อยู่ที่คุณจ่าหน้าบนซองจดหมายทั่ว ๆ ไป

    Inbox หมายถึง กล่องหรือที่สำหรับเก็บอีเมล์ ที่มีผู้ส่งเข้ามา

    Outbox หมายถึง กล่องหรือที่เก็บอีเมล์ ที่กำลังจะส่งออกไปหาผู้อื่น

    Sent Items หมายถึง กล่องหรือที่เก็บอีเมล์ ที่เราได้เคยส่งออกไปหาผู้อื่นแล้ว

    Delete Items หมายถึง กล่องหรือที่เก็บอีเมล์ ที่ได้ทำการลบทิ้งจาก Inbox แต่ยังเก็บสำรองไว้อยู่

    Drafts หมายถึงกล่อง หรือที่เก็บอีเมล์ สำหรับใช้เก็บอีเมล์ต่าง ๆ ชั่วคราว ซึ่งอาจจะมีหรือไม่มีก็ได้

    Compose หรือ New Mail จะเป็นการส่งอีเมล์ใหม่ ไปหาผู้อื่น

    Subject หมายถึง หัวข้อของอีเมล์ที่เราจะเขียนหรือส่งออกไป

    Attach หมายถึง การแนบไฟล์เอกสาร หรือโปรแกรมต่าง ๆ ไปกับอีเมล์ฉบับนั้น

    Address Book หมายถึง สมุดรายชื่อของอีเมล์ต่าง ๆ ที่เราสามารถเก็บไว้ เพื่อให้นำมาใช้งานได้ง่ายขึ้น

    Cc: (Carbon Copy) เป็นการส่ง mail ให้กับผู้รับหลาย ๆ คน โดยที่ทุกคนทราบว่า จดหมายฉบับนี้ี้ถูกทำสำเนา เพื่อที่จะส่งให้ผู้รับหลายคน

    Bcc: (Blind Carbon Copy) เป็นการส่ง mail ให้กับผู้รับหลาย ๆ คนโดยที่ทุกคนไม่ทราบว่า จดหมายฉบับนี้ถูกทำสำเนาเพื่อที่จะส่งให้ผู้รับหลายคน

    Reply หมายถึง การส่งตอบจดหมายกลับไปยังผู้ส่ง

    Forward หมายถึง ส่งไปทั้งต้นฉบับ

     ที่มา : widebase.net(14 กุมภาพันธ์ 2556)


      ส่วนประกอบของอีเมล์แอดเดรส ประกอบด้วย ส่วนสำคัญ ดังตัวอย่างนี้
      1. ชื่อบัญชีสมาชิกของผู้ใช้เรียกว่า user name อาจใช้ชื่อจริง ชื่อเล่น หรือชื่อองค์กร ก็ได้
      2. ส่วนนี้ คือ เครื่องหมาย @ ( at sign) อ่านว่า แอท
      3. ส่วนที่สาม คือ โดเมนเนม (Domain Name) เป็นที่อยู่ของอินเทอร์เน็ตเซิร์ฟเวอร์ที่เราสมัครเป็นสมาชิกอยู่ เพื่ออ้างถึงเมล์เซิร์ฟเวอร์
      4. ส่วนสุดท้ายเป็นรหัสบอกประเภทขององค์กรและประเทศ ในที่นี้คือ .co.th โดยที่ .co หมายถึง commercial เป็นบริการเกี่ยวกับการค้า ส่วน .th หมายถึง Thailand อยู่ในประเทศไทย
    รหัสบอกประเภทขององค์กร คือ
    .com = commercial บริการด้านการค้า
    .edu = education สถานศึกษา
    .org = orgnization องค์กรที่ไม่แสวงหากำไร
    .gov = government หน่วยงานรัฐบาล
    .net = network หน่วยงานบริการเครือข่าย
    ตัวอย่าง e-mail address
    stg@mail.ians.navy.mi.th somchai@access.inet.co.th somchai@ku.ac.th                                                การลงทะเบียนขอ e-mail address ผู้ใช้บริการสามารถลงทะเบียนขอ e-mail address ได้จาก เว็บต์ที่ให้บริการทั้งแบบที่เสียค่าใช้จ่ายและฟรี เว็บไซต์ที่ให้บริการอีเมล์ฟรี ได้แก่
    www.yahoo.com , www.thaimail.com , www.hotmail.com การรับส่ง e-mail มีองค์ประกอบดังนี้-เว็บไชต์ที่ให้บริการรับส่ง e-mail เปรียบเหมือนที่ทำการไปรษณีย์
    - e-mail address ของผู้ส่ง
    - e-mail address ของผู้รับ

    โปรแกรมอีเมล์
    โปรแกรมอีเมล์ คือ โปรแกรมที่ใช้สำหรับรับและส่งอีเมล์ โปรแกรมอีเมล์ทีได้รับความนิยมมาก ได้แก่
    1. Outlook Express เป็นโปรแกรมที่อยู่ในอินเทอร์เน็ตเอ็กซ์พลอเรอร์ 5 ของบริษัทไมโครซอฟท์
    2. Netscape Mail เป็นโปรแกรมอีเมล์ในชุดเน็ตสเคปคอมมิวนิเคเตอร์ 5.0
    3 . Eudora Pro เป็นโปรแกรมอีเมล์โดยเฉพาะซึ่งมีคุณสมบัติที่แตกต่างจากโปรแกรมอีเมล์ประเภทอื่น เช่น ถ้าเราโหลดข้อมูลเมล์เสร็จ โปรแกรมจะยุติการติดต่อโดยอัตโนมัติตรวจเช็กกล่องไปรษณีย์ตามเวลาที่กำหนด เหมาะกับการใช้งาบนเครือข่าย
    การรับ – ส่งอีเมล์ ด้วยโปรแกรม Outlook Express
    โปรแกรม Outlook Express เป็นโปรแกรมรับส่งอีเมล์ที่ติดตั้งพร้อมกับวินโดวส์ 98 ซึ่งสามารถเรียกโปรแกรม Outlook Express ได้โดยคลิกที่ปุ่ม Start ---- > Programs --- > Outlook Express หรือ คลิกไอคอนบน desktop จะได้หน้าต่างของ Outlook Express ดังนี้
    ส่วนประกอบสำคัญของ Outlook Express มีดังนี้
    1. แถบปุ่มคำสั่ง สามารถคลิกที่ปุ่มเพื่อทำงานอีเมล์ เช่น ตอบอีเมล์ พิมพ์ทางเครื่องพิมพ์ ส่งอีเมล์
    2. โฟลเดอร์ของอีเมล์ เป็นการจัดแสดงอีเมล์ที่ส่งมา โดยจัดแสดงในรูปของแผนภูมิต้นไม้
    3. รายชื่อบุคคลที่บันทึกไว้
    4. หัวข้ออีเมล์ เป็นหัวข้อสำคัญ (Subject) ของอีเมล์ที่อยู่ในโฟลเดอร์ เช่น ถ้าเราคลิกที่ Inbox ก็จะปรากฏรายชื่อจดหมายขึ้นมา
    5. เนื้อหาของอีเมล์ที่เราเลือก เป็นบริเวณที่แสดงรายละเอียดเนื้อหาของอีเมล์ที่เราเลือกจะอ่าน
    • การติดตั้งตู้จดหมาย ( mail box)
    จดหมายที่ถูกส่งมาจะจัดเก็บที่ เครื่อง Server ของผู้ให้บริการ ผู้ใช้สามารถใช้คอมพิวเตอร์เครื่องใดก็ได้ ในการเปิดอ่าน หรือรับส่งจดหมาย โดยใช้โปรแกรมของผู้ให้บริการเอง หรือใช้โปรแกรม outlook express ถ้าใช้ outlook express จะต้องติดตั้งโฟลเดอร์ หรือ Mail box
    โฟลเดอร์เป็นส่วนที่แสดงจดหมายที่ส่งเข้ามา(inbox ) ส่งออก(out book) เก็บสำเนาไว้ใช้ในการอ้างอิง (Sent Items) เปรียบเหมือนตู้จดหมายที่แขวนอยู่ที่หน้าเรา โปรแกรม outlook express ในแต่ละเครื่องสามารถติดตั้ง ตู้จดหมายหรือโฟลเดอร์ได้มากกว่าหนึ่ง แอดเดรส และ แอดเดรส หนึ่งสามารถไปใช้งานที่เครื่องไหน ก็ได้ แต่จะต้องติดตั้งตู้จดหมายทุกครั้งที่เปลี่ยนเครื่องใช้งาน สมมุติว่า ต้องการสร้างตู้จดหมายของผู้ดูแลระบบ โดย แอดเดรสของ คือ admin@mail.ians.navy.mi.th มีขั้นตอน การสร้างดังนี้1. ที่เมนู Tools เลือกเมนู Accounts2. ที่แท็บ Mail คลิกปุ่ม Add -- > mail
    1. จะปรากฏหน้าจอสำหรับกำหนดค่าต่าง ๆ ดังต่อไปนี้

    2. display name คือชื่อแสดงให้ผู้รับทราบว่าเป็น ใส่ e-mail address ในที่นี้คือ
      จดหมายจากใคร
      admin@mail.ians.navy.mi.th

      4. กำหนดค่าของ Mail Server ที่ให้บริการเมล์สำหรับเมล์ของ สรส. ให้ตั้งค่าดังนี้

      My incom mail Server ให้เลือก IMAP
      Im coming mail server คือ Server ที่รับ จดหมายเข้า ให้เติม mail.ians.navy.mi.th
      Outgoing mail Server คือ Server ที่ให้บริการส่งจดหมายออก ให้เติม
      mail.ians.navy.mi.th5. กำหนดค่าของ Account name และpassword ของ e-mail address                    
       Account name คือ ข้อความที่อยู่หน้าเครื่องหมาย @ ในที่นี้คือ admin
      ในช่อง Remember name ถ้ามีเครื่องหมายถูกอยู่ข้างหน้า หมายถึงให้โปรแกรมจำ password ของ e-mail address นี้ เมื่อเปิดใช้ตู้จดหมายนี้ทุกครั้งจะไม่มีการถาม password
      แต่มีข้อเสียคือถ้ามีคนอื่นมาใช้โปรแกรมที่เครื่องนี้ด้วย จะสามารถเปิดอ่าน หรือลบจดหมายของเราไก้
      6. หลังจากคลิกปุ่ม next จะกลับไปที่หน้าจอ ดังรูป จากรูปให้คลิกปุ่ม Close
      7. โปรแกรมจะถามว่าต้องการโหลดโฟลเดอร์จาก mial server หรือไม่ ให้ตอบ Yesโปรแกรมจะโหลดข้อมูลจาก Server มาแสดงที่เครื่องของเรา
      ถ้าสามารถติดต่อ Server ได้และโหลด ข้อมูลสำเร็จจะปรากฏ หน้าจอนี้คลิกปุ่ม Ok เพื่อจบขั้นตอน

      สร้างตู้จดหมายใหม่



      การเปลี่ยนคุณสมบัติของตู้จดหมาย ให้คลิกขวาที่ชื่อ โฟลเดอร์และเลือกเมนู Properties

      ชื่อของ Folder หรือตู้จดหมาย สามารถเปลี่นเพื่อให้ความหมายว่า คือตู้ของใคร

           
      จากรูปนี้ มีตู้จดหมายอยู่ 3 ตู้ คือ admin , stg_wgm และ suparat แสดงว่ามีผู้ใช้โปรแกรมในคอมพิวเตอร์เครื่องนี้ในการรับส่งจดหมาย 3 คน หรือ 3 address ก่อนใช้งานต้องมั่นใจว่าได้เลือกตู้จดหมายของเราเอง โดยการคลิกเลือกที่โฟลเดอร์ของตนเองเท่านั้นการลบตู้จดหมาย ให้คลิกขวาที่ชื่อ โฟลเดอร์และเลือกเมนู Remove Account

      การสร้างอีเมล์ (การเขียนอีเมล์)
      การเขียนอีเมล์ทำได้หลายวิธี โดยเราอาจจะพิมพ์ข้อความต่าง ๆ ด้วยโปรแกรม Wordpad บนวินโดวส์ 98 ,ใช้โปรแกรมไมโครซอฟต์เวิร์ด หรือแม้แต่ในโปรแกรม Outlook Express ก็สามารถจะเขียนข้อความเป็นจดหมายได้วิธีการเขียนอีเมล์ มีขั้นตอนปฏิบัติ ดังนี้1. หลังจากเปิดโปรแกรม Outlook Express แล้ว ให้คลิกที่ปุ่ม New Mail หรือ (ขึ้นอยู่กับ version ของโปแกรม) ที่อยู่บนแถบเครื่องมือ หรือเลือกคำสั่ง File New Message ก็ได้หน้าต่าง ดังนี้

      2. พิมพ์อีเมล์แอดเดรสของผู้ที่เราจะส่งไปถึงในช่อง To:
      3. ถ้าเราจะส่งอีเมล์ไปหาคนหลาย ๆ คนในเวลาเดียวกัน ให้พิมพ์อีเมล์แอดเดรสของคนเหล่านั้นในช่อง Cc: (Carbon Copy) คั่นด้วยเครื่องหมายเซมิโคลอน (;) จนครบตามจำนวนที่ต้องการ
      4. พิมพ์ข้อความที่เป็นหัวเรื่องในช่อง Subject
      5.คลิกตรงที่ว่างถัดจาก Subject ลงมา แล้วพิมพ์ข้อความที่เราต้องการจะส่ง เราสามารถปรับขนาดและแบบตัวอักษรได้ตามต้องการ
      ในช่อง To และ cc เราสามารถใส่ชื่อผู้รับโดยที่ไม่จำเป็นต้องพิพม์ชื่อลงไปโดยตรง เราสามารถเลือกชื่อผู้รับ จาก address book ได้โดยการคลิกที่ จะปรากฏหน้าจอสำหรับเลือกชื่อผู้รับดังนี้

      เลือกชื่อผู้รับจากช่องด้านซ้ายมือและคลิกปุ่ม To จนครบตามที่ต้องการและคลิก ปุ่มOK6. เมื่อพิมพ์ข้อความเสร็จแล้ว เราสามารถส่งอีเมล์ได้ทันที โดยคลิกที่ปุ่ม Send (ในกรณีที่เรายังไม่ได้ต่ออินเทอร์เน็ตหรือติดต่อ Server ไม่ได้ อีเมล์จะถูกเก็บไว้ในกล่อง Outbox ซึ่งเป็นที่พักอีเมล์ของเรา เมื่อเราเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตแล้วก็สามารถส่งอีเมล์ได้
                                         การแนบไฟล์ไปกับอีเมล์ในการส่งอีเมล์นั้นไม่ใช่ว่าเราจะส่งได้เฉพาะข้อความที่เขียนในอีเมล์เท่านั้น แต่เราอาจจะต้องการส่งข้อความอื่น ๆ ที่มีขนาดยาว ๆ มีภาพประกอบ ซึ่งทำจากโปรแกรมวาดภาพ เราก็สามารถส่งไปพร้อม ๆ กับอีเมล์ได้วิธีการแนบไฟล์ไปกับอีเมล์ มีวิธีปฏิบัติดังนี้
      1.หลังจากที่เราเขียนอีเมล์จบแล้ว พร้อมที่จะส่ง ให้คลิกเมาส์ที่ปุ่ม บนปุ่มคำสั่ง จะได้หน้าต่างดังนี้

      2. คลิกเลือกไฟล์ที่เราต้องการ อาจะส่ง 1 ไฟล์, 2 ไฟล์ หรือมากกว่านั้นก็ได้ โดยคลิกที่ชื่อไฟล์ แล้วคลิกที่ปุ่ม Attach ทีละไฟล์จนครบตามต้องการ
      3. เปิดไปดูที่หน้าต่างอีกเมล์ของเราก็จะพบว่าในช่องถัดจาก Subject ลงมาจะมีช่อง Attach ขึ้นมา มีชื่อ


      ไฟล์ที่เราจะแนบส่งไปปรากฏขึ้น
      4. คลิกที่ปุ่ม Send จะเป็นการส่งอีเมล์พร้อมกับไฟล์ที่แนบไปทันที

      • การตรวจสอบอีเมล์เข้าและการอ่านอีเมล์
      • บางครั้งถ้าเราต้องการตรวจเช็กดูว่ามีคนอื่นส่งอีเมล์มาถึงเราหรือไม่ สามารถทำได้ง่าย ๆ ดังนี้1.เข้าสู่โปรแกรม Outlook Express

        2.คลิกที่ปุ่ม (Send/Recv) บนแถบเครื่องมือ โปรแกรมจะโหลดข้อมูลจาก Server และปรากฏหน้าจอแสดงการทำงาน เราสามารถซ่อนหน้าจอโดยการคลิก ปุ่ม Hide 
        เราสามารถตั้งเวลาการโหลดข้อมูลจาก Server ได้โดยการเลือกเมนู Tools และ option
        คลิกเลือกแท็บ General
        Send /receive message สามารถเลือก
        - กำหนดเสียงเมือมีจดหมายเข้า
        - ส่งและรับจดหมายเมื่อเริ่มทำงาน
        - check จดหมายใหม่ ทุก ๆ …. วินาที ตามที่กำหนด

        การอ่านอีเมล์ อีเมล์ใหม่ที่ถูกส่งเข้ามาจะเก็บไว้ในโฟลเดอร์ Inbox วิธีการอ่านอีเมล์ให้ปฏิบัติ ดังนี้ 1. คลิกเมาส์ที่โฟลเดอร์ Inbox
        2. คลิกอีเมล์ฉบับที่ต้องการอ่าน

        จดหมายที่ต้องการอ่าน

                  เนื้อความในจดหมายหรือดับเบิลคลิก จะเป็นการเปิดอีเมล์ทั้งฉบับจดหมายที่มีไฟล์แนบมาด้วยสามารถเปิดอ่าน
        ได้โดยการดับเบิลคลิกไฟล์ที่แนบ

        ถ้าต้องการ Save อีเมล์ไว้อ่านในโอกาสต่อไปให้เลือกคำสั่ง File --- > Save
        4. ถ้าต้องการพิมพ์อีเมล์ให้เลือก Print
        การลบอีเมล์ ให้คลิกที่ปุ่ม Delete และ คลิก Yes เพื่อยืนยันการลบ จดหมายที่ถูกลบจะมีเครื่องหมายกากบาทสีแดงรูปซองจดหมายและขีดกลาง แต่จดหมายยังไม่ถูกลบออกจาก Server จริง ถ้าต้องการลบจดหมายไม่ให้ปรากฏอีกให้คลิกปุ่ม บนแถบคำสั่ง จดหมายที่ลบจะหายไปจากตู้จดหมาย เราควรลบหมายที่ไม่ต้องการออกจากตู้เพื่อให้ที่เก็บข้อมูลบน Server มีที่ว่างมากขึ้นทำใหรับส่ง และโหลดจดหมายได้เร็วขึ้น

        • การเก็บบันทึกไฟล์แนบ
        • การลบจดหมายจะทำให้ไฟล์แนบหายไปด้วย เราสามารถเก็บบันทึกไฟล์ที่แนบกับจดหมายไว้ในเครื่องคอมพิวเตอร์ของเราเองได้ ผู้ใช้ควรสร้างโฟลเดอร์โดยเฉพาะเพื่อจัดเก็บข้อมูลให้เป็นสัดส่วนในเครื่อง ของตนเอง เมื่อใดก็ตามที่มีการบันทึกข้อมูลจากจดหมายให้เก็บในที่เดียวกันเพื่อให้ง่ายในการ



          ค้นหาภายหลัง เมื่อเปิดอ่านจดหมายถ้ามีเครื่องหมายรูปที่หนีบกระดาษแสดงว่ามีไฟล์แนบมาด้วย

          การเก็บบันทึกไฟล์แนบให้คลิกขวาที่รูปที่หนีบกระดาษ และเลือกเมนู
          Save Attachments


           เลือกไฟล์ที่ต้องการบันทึกหรือเลือกทั้งหมด  เลือกสถานที่ เก็บบันทึก


          • การบันทึกรายชื่อด้วย Address Book
          • การใช้ Address Book เพื่อบันทึกรายชื่อบุคคลที่เราติดต่อถึงบ่อย ๆ เราก็นำชื่อคนเหล่านั้นมาจัดทำเป็นหมวดหมู่ เพื่อสะดวกในการใช้งาน ประหยัดเวลา เพราะไม่ต้องมาพิมพ์ชื่อทุกคน ทุกครั้งที่จะส่งอีเมล์ โดยเฉพาะเมื่อต้องการติดต่อกับคนจำนวนมาก การใช้ Address Book จะช่วยประหยัดเวลาไปได้มากการทำ Address Book มี 2 วิธีใหญ่ ๆ คือ
            • การนำ Address Book ที่มีอยู่แล้วมาใช้งาน
            • การสร้างใหม่สำหรับ รายชื่อของหน่วยงานและบุคคลใน สรส. ได้ทำ Address Book เริ่มต้นไว้ให้แล้ว ผู้ใช้สามารถดาวน์โหลดได้จากหน้าเว็บเพจของ สรส. เมื่อต้องการเพิ่มรายชื่อ ก็สามารถเพิ่มจากที่มีอยู่แล้วได้ด้วยตนเอง
            ขั้นตอนการนำ Address Book ที่มีอยู่แล้วมาใช้งาน มีดังนี้1. เก็บบันทึกไฟล์ Address Book ไว้ในเครื่องของตัวเอง ในที่นี้สมมุติว่า ได้ดาวน์โหลดจากหน้าเว็บ สรส.มาเก็บที่ desktop ชื่อไฟล์ add_ians.WAB

            2. ที่แถบคำสั่งเลือกเมนู File -- > Import -- > Address book




            3. เลือกไฟล์ Address Book และคลิกปุ่ม Open โปรแกรมจะโหลด e-mail address เข้ามาเก็บไว้ด

            ที่หน้าต่าง Outlook Express เมื่อคลิกที่ปุ่ม (Addresses) จะได้หน้าต่างแสดง
            e-mail address ของหน่วยต่าง ๆ ดังนี้
            สัญลักษณ์ หมายถึงกลุ่มบุคคล
            การเพิ่มรายชื่อ e-mail address ใน Address Book
            1. คลิกที่ปุ่ม New บนหน้าต่าง Address Book แล้วเลือก New Contact
            2. พิมพ์ข้อมูลชื่อ นามสกุล ที่อยู่ และอีเมล์แอดเดรส ตามที่กำหนด
            3.  
              จากรูป first name = A006 ใส่ไว้ ให้ Display name เริ่มต้นด้วยหมายเลข เมื่อเรียงลำดับแล้วให้ไปต่อท้าย A005 นายทหารงบประมาณ (ไม่ได้มีความหมายใด ๆ)4. ถ้าต้องการจะเพิ่มชื่อใหม่ ๆ เข้าไปให้คลิกที่ปุ่ม Add แล้วคลิก OK จะปรากฏ Address Book ขึ้นมา เราก็พิมพ์เพิ่มได้ตามต้องการ

              5. หลังจากพิมพ์ครบตามต้องการแล้วก็ปิด Address Book โดยคลิกที่ปุ่ม Close
              • การสร้างรายชื่อกลุ่มบุคคล ( Group)
              เมื่อเราต้องติดต่อกับคนกลุ่มเดิมอยู่บ่อย ๆ เราสามารถ นำชื่อบุคคลมาจัดเป็นกลุ่ม เพื่อสะดวกในการใช้งาน ประหยัดเวลา เพราะไม่ต้องมาพิมพ์ชื่อทุกคน ตัวอย่างเช่น นขต.สรส. ประกอบด้วย ธุรการ ของ นขต.สรส. ทั้งหมด 9 หน่วย เมื่อต้องการส่งจดหมายให้ นขต. สรส. จะต้องใส่ชื่อทั้ง 9 หน่วย บางครั้งอาจจะพลาดใส่ไม่ครบหน่วย เราสารมารถ นำ แอดเดรสของ ธก.นขต.สรส. ทั้งหมด มาจัดกลุ่ม และตั้งชื่อกลุ่มให้สื่อความหมายว่า นขต. สรส. โดยมีขั้นตอนดังนี้
              ที่หน้าต่าง Outlook Express เมื่อคลิกที่ปุ่ม (Addresses) จะได้หน้าต่างแสดง Addresses book
              2. บนหน้าต่าง Address Book คลิกที่ปุ่ม New แล้วเลือก New Group จะปรากฏหน้าจอดังรูป
              3. ใส่ชื่อกลุ่มที่ Group Name เพิ่มรายชื่อเข้ากลุ่มโดยการคลิกที่ Select Member จะปรากฏหน้าจอให้เลือกชื่อจาก address book เลือกรายชื่อที่ต้องการให้อยู่ในกลุ่ม และคลิก ที่ Select จนครบตามที่ต้องการ จึงคลิก OK

              4. กลับมาที่หน้าจอเดิม จากหน้าจอนี้สามารถ เพิ่ม หรือลบ สมาชิกได้ เมื่อได้สมาชิกตามที่ต้องการแล้วให้คลิก OK กลับไปที่หน้าจอ address book เห็นกลุ่มใหม่เกิดขึ้นมา


              ตัวอย่าง E-mail     ajaommy@gmail.com

              การนำไปประยุกต์ใช้ในการเรียนการสอน  ช่วยให้ผู้สอนสามารถที่จะให้เด็กส่งงานผ่านอีเมล  เป็นการประหยัดกระดาษประหยัดเวลา  นอกจากนี้ยังเป็นการช่วยให้นักเรียนสามารถเก็บงานของตนเองได้อย่างถาวรใน e-mail  ได้

               



                แหล่งอ้างอิง  http://www.navy.mi.th/ians/stg_wgm_pro/document/e_mail.htm  14 กุมภาพันธ์ 2556